กรุงเทพฯ--14 ก.ย.--เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส
911 คือรถสปอร์ตที่ขายดีที่สุดในโลกมาอย่างยาวนาน และในตอนนี้ 911 รุ่นใหม่ได้ออกมาให้ยลโฉมเพื่อยึดครองความเป็นผู้นำได้อย่างต่อเนื่อง โดยรุ่นใหม่จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ Turbo Flat ที่เปี่ยมไปด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีชั้นนำ ตัวถังมาพร้อมกับประสิทธิภาพ การผสมผสานสมรรถนะเครื่องยนต์กับความสะดวกสบายให้มีความสมดุลร่วมกัน และมาพร้อมระบบ Infotainment ใหม่ล่าสุดที่ติดตั้งมากับรถอีกด้วย ต้องชื่นชมเครื่องยนต์เทอร์โบที่ ปอร์เช่ใช้กับทั้งรถแข่งและรถสายการผลิต ทำให้เครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดของ 911 คาร์เรร่า (Carrera) ออกมาสร้างมาตรฐานใหม่ในเรื่องของประสิทธิภาพ ความสุนทรีย์ในการขับขี่ และการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างแน่นอน อีกหนึ่งความโดดเด่นคือ Rear-Axle steering ที่สามารถเลือกติดตั้งเป็นอุปกรณ์เสริมให้กับ คาร์เรร่า เอส (Carrera S) ได้เป็นครั้งแรกและจะส่งผลให้มีความคล่องตัวในการขับขี่มากยิ่งขึ้น
จุดเด่นของภายนอก 911 ใหม่สะท้อนออกมาอย่างโดดเด่น ตั้งแต่ไฟหน้าที่มาพร้อมกับไฟ Daytime 4 ดวง (Four point daytime running lights) จนไปถึงที่จับประตูและฝากระโปรงหลังได้รับการออกแบบใหม่ตัดเข้ากับไฟท้ายแบบใหม่ล่าสุดได้อย่างลงตัว รวมถึงไฟเบรกแบบ 4 ดวง (Four point daytime brake lights) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ส่วนภายในห้องโดยสารมาพร้อมกับระบบ Porsche Communication Management ฟังก์ชั่นการใช้งานใหม่ ระบบสัมผัสและง่ายต่อการใช้งาน
เครื่องยนต์ Turbocharged ใหม่ล่าสุด: เพิ่มพละกำลังมากขึ้น 20 แรงม้า อีกทั้งประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น
การปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รุ่นใหม่ทั้งหมดพร้อมด้วยตัว Bi-turbo charging ส่งผลให้เพิ่มความสุนทรีย์ในการขับขี่มากยิ่งขึ้น โดย 911 คาร์เรร่า (Carrera) มีพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 370 แรงม้า (272 กิโลวัตต์) จากเครื่องยนต์ที่ติดตั้งทางด้านหลัง ส่วนรุ่น 911 คาร์เรร่า เอส (911 Carrera S) มีพละกำลังเครื่องยนต์สูงถึง 420 แรงม้า (309 กิโลวัตต์) โดยทั้ง 2 รุ่น เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมถึง 20 แรงม้า (15 กิโลวัตต์) นอกจากนี้เครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่นมีขนาดความจุที่ 3 ลิตร พละกำลังเครื่องยนต์ที่มากกว่าของรุ่น 911
คาร์เรร่า เอส (911 Carrera S) ได้มาจากการพัฒนา Turbochargers, ระบบท่อไอเสียสปอร์ตและการจัดการเครื่องยนต์ให้สมดุลมากขึ้น
เครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดของปอร์เช่ได้เพิ่มศักยภาพของแรงบิดให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน (เพิ่มขึ้น 60 นิวตันเมตร) ทำให้มีแรงบิดสูงสุดถึง 450 นิวตันเมตร และ 500 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ขณะต่ำสุด 1,700 รอบต่อนาทีถึง 5,000 รอบต่อนาทีสำหรับทั้ง 2 รุ่น ส่งผลให้รถมีประสิทธิภาพการขับขี่ที่เป็นเลิศ ในขณะเดียวกันเมื่อเครื่องยนต์ทำงานเข้าสู่ความเร็วสูงสุดที่ 7,500 รอบต่อนาที จะผลิตความเร็วสูงสุดของเครื่องยนต์เทอร์โบออกมาได้อย่างเหนือชั้น พร้อมด้วยเสียงที่ดังกระหึ่มอีกด้วย
911 ใหม่ล่าสุดทุกรุ่นจะมาพร้อมกับประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดียิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน เช่น เครื่องยนต์ของรุ่นใหม่จะประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นถึง 12% โดยอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงจะลดลงถึง 1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร 911 คาร์เรร่า (Carrera) มาพร้อมกับระบบส่งกำลัง PDK ซึ่งมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเพียง 7.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (13.51 กิโลเมตร/ลิตร) เพียงเท่านั้น ลดลง 0.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ในขณะที่รุน 911 คาร์เรร่า เอส (911 Carrera S) พร้อมด้วย PDK จะมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 7.7 ลิตร/100 กิโลเมตร (12.99 กิโลเมตร/ลิตร) ลดลง 1 ลิตรต่อ 100 กิโลมตร
911 ใหม่ล่าสุด เพิ่มศักยภาพให้กับรถอย่างเต็มพิกัด โดย 911 คาร์เรร่า คูเป้ (911 Carrera Coupe) พร้อมด้วยระบบเกียร์ Porsche Doppelkupplung (PDK) และแพ็คเกจ Sport Chrono Package จะมีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียงแค่ 4.2 วินาทีเท่านั้น ถือได้ว่าเร็วกว่าเดิมถึง 2 ใน 10 ของวินาทีเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม หากเป็นรุ่น 911 คาร์เรร่า เอส (911 Carrera S) พร้อมด้วย PDK และ Sport Chrono Package จะทำได้เพียง 3.9 วินาทีเท่านั้น (เร็วขึ้น 0.2 วินาที) ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ 911 ในตระกูล คาร์เรร่า Carrera สามารถทำเวลาได้ต่ำกว่า 4 วินาทีอีกด้วย อีกทั้งความเร็วสูงสุดของทั้ง 2 รุ่นเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดย 911 คาร์เรร่า (911 Carrera) รุ่นใหม่นี้มีความเร็วสูงสุดที่ 295 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในขณะที่รุ่น 911 คาร์เรร่า เอส (911 Carrera S) ทำได้ที่ 308 กิโลเมตร/ชั่วโมง
หากทำงานร่วมกับ Sport Chrono Package ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมที่สามารถเลือกติดตั้งได้จะทำให้ 911 คาร์เรร่า (911 Carrera) มาพร้อมกับโหมด Switch on ของพวงมาลัยเป็นครั้งแรก ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากโหมดไฮบริดที่ใช้อยู่ในรุ่น 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) สวิตซ์โหมดสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้ 4 ระดับนั่นคือ Normal, Sport, Sport Plus และ Individual ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้งานของผู้ขับขี่ด้วย เช่น ระบบ PASM, ระบบ Active engine mounts, ระบบเกียร์ PDK shifting strategy และระบบ sports exhaust system เมื่อทำงานร่วมกับระบบเกียร์ PDK จะสามารถปรับโหมดได้เพิ่มเติมนั่นคือ "Sport Respone button" หากกดปุ่มนี้ จะทำให้ระบบขับเคลื่อนเร่งเครื่องยนต์ได้มากสุด 20 วินาที เช่น ใช้ในการขึ้นแซงเป็นต้น โดยจะช่วยให้ระบบเกียร์ทำงานร่วมกับระบบจัดการเครื่องยนต์ให้ปรับเปลี่ยนและตอบสนองได้ในเวลาที่รวดเร็วขึ้น
จุดเด่นที่เป็นมาตรฐาน: ระบบตัวถัง PASM ได้รับการปรับเปลี่ยนให้ความสูงลดลง 10 มิลลิเมตร
911 คาร์เรร่า (911 Carrera) สร้างมาตรฐานให้กับวงการรถสปอร์ตในเรื่องความคล่องตัวสำหรับการขับขี่ได้อย่าง สง่างามในรถทุกรุ่น ปอร์เช่จะทำการพัฒนาความสมดุลระหว่างความสะดวกสบายในการขับขี่ประจำวันเข้ากับประสิทธิภาพเสมือนรถแข่งได้อย่างลงตัวมากขึ้นเรื่อยๆ และนี่เป็นครั้งแรกที่นำตัวถัง PASM ใหม่ล่าสุด (Porsche Active Suspension Management) ที่สามารถลดความสูงของรถให้ต่ำอีก 10 มิลลิเมตร เป็นคุณสมบัติเด่นมาตรฐานสำหรับ คาร์เรร่า (Carrera) ทุกรุ่น โดยช่วยให้รถมีเสถียรภาพระหว่างเข้าโค้งด้วยความเร็วมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันโช้คอัพของรุ่นใหม่ล่าสุดมีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องของการกระจายและเพิ่มความสะดวกสบายได้มากกว่าเดิม ต้องขอบคุณการตอบสนองที่แม่นยำมากขึ้นรวมถึงการพัฒนาของตัวรถระหว่างการขับขี่ที่คล่องตัวสูง ล้อมาตรฐานแบบใหม่ล่าสุดจะมาพร้อมกับก้านล้อแบบเรียวยาวคู่ 5 ก้าน และยางที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ ความกว้างของขอบล้อทางด้านหลังเพิ่มขึ้นอีก 0.5 ถึง 11.5 นิ้วและยางของ 911 คาร์เรร่า เอส (911 Carrera S) จะมีขนาดที่ 305 จาก 295 มิลลิเมตร
ระบบ Active rear-axle steering สามารถเลือกติดตั้งเป็นระบบเสริมให้กับรุ่น 911 คาร์เรร่า เอส (911 Carrera S) ด้วยเทคโนโลยีตัวถังจากรุ่น 911 เทอร์โบ (911 Turbo) และ 911 จีที3 (911 GT3) เพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ในการเปลี่ยนช่องทางการขับขี่ด้วยความเร็วสูง ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ขณะวิ่งในเมือง ซึ่งต้องขอบคุณต่อองศาการหมุนที่ลดลง 0.5 เมตร ความคล่องตัวต่างๆ จะถูกส่งต่อให้กับผู้ขับขี่ผ่านพวงมาลัยโฉมใหม่ซึ่งนำมาจากรุ่น 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) พวงมาลัยมาตรฐานมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ 375 มิลลิเมตร หรือสามารถเลือกติดตั้งพวงมาลัยแบบ GTS Sports steering wheel ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ 360 มิลลิเมตรได้ สำหรับการใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ปอร์เช่จึงนำเสนอระบบ Hydraulic lift system ที่จะทำงานร่วมกับการยกระดับกระบอกสูบในท่อนยึด
ปีกนกด้านล่างของเพลาหน้า เพียงกดปุ่มระบบจะช่วยเพิ่ม Ground clearance ทางด้านหน้าอีก 40 มิลลิเมตร ภายในเวลา 5 วินาที ซึ่งจะช่วยป้องกันช่วงล่างและใต้ท้องรถจากการกระทบกับพื้น เช่น ตอนออกจากโรงรถเป็นต้น
ระบบ Porsche Communication Management ใหม่ล่าสุด มาพร้อมกับฟังก์ชั่นการค้นหาเส้นทางแบบออนไลน์
คุณลักษณะเด่นที่เป็นระบบมาตรฐานให้กับ 911 คาร์เรร่า (911 Carrera) ใหม่ล่าสุดที่พัฒนาขึ้นคือระบบ Porsche Communication Management system (PCM) มาพร้อมกับการค้นหาเส้นทางแบบออนไลน์และการควบคุมการใช้งานด้วยเสียงหรือ Voice Control โดย PCM สามารถใช้งานผ่านระบบหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว คล้ายกับการใช้งานบนสมาร์ทโฟน ผู้ใช้งานสามารถเรียกใช้งานด้วยการเขียนได้
ระบบช่วยเหลือใหม่ล่าสุด
911 คาร์เรร่า (911 Carrera) พัฒนาให้มีความแม่นยำมากขึ้นตามความต้องการส่วนบุคคล ด้วยการเพิ่มระบบช่วยเหลือต่างๆ เข้าไป: ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (automatic speed control) สามารถช่วยเรื่องการเบรกได้อย่างมั่นคงเมื่อความเร็วเกินที่ตั้งค่าไว้ เช่น เมื่อขับลงเขา เป็นต้น ระบบ Adaptive Cruise Control (ACC) ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริม มาพร้อมกับฟังก์ชั่น Coasting ที่ทำงานร่วมกับระบบเกียร์ PDK เมื่อต้องขับขี่ในสถานการณ์รถติด คลัทซ์จะหยุดทำงานเพื่อประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ไม่สูญเสียพละกำลังเครื่องยนต์ อีกหนึ่งระบบเสริมที่สามารถเลือกติดตั้งได้คือระบบช่วยเหลือในการเปลี่ยนช่องทาง (lane change assistant) จะทำการตรวจสอบรถทางด้านหลังด้วยตัวจับสัญญาณและใช้ไฟ LED ทั้งด้านซ้ายและขวาเพื่อเป็นการเตือนผู้ขับขี่ให้ระวังรถที่อาจวิ่งเข้ามาในระยะจุดบอดได้ นอกจากนี้ปอร์เช่ยังเพิ่มความปลอดภัยสำหรับการใช้งานของรถสปอร์ตด้วยระบบหยุดวงจรไฟหรือเครื่องยนต์ที่เสียงต่อการเกิดไฟไหม้หรือความเสียหายหลังเกิดการชน (the post-collision braking system) มาเป็นคุณสมับติมาตรฐานให้กับรถ
ประสบการณ์ของเทอร์โบกว่า 40 ปี ในวงการมอเตอร์สปอร์ตและรถสายการผลิต
สำหรับปอร์เช่ นวัตกรรม และการพัฒนาต่างๆ ที่ได้รับการพิสูจน์จากการแข่งขันในสนามแข่งซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ผลิตรถปอร์เช่ โดยการทดสอบผ่านมอเตอร์สปอร์ตโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้ประสิทธิภาพเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดคันนี้สมบูรณ์แบบ ด้วยการพัฒนาปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ 6 สูบแบบ Flat ทำให้ปอร์เช่สามารถย้อนกลับไปถึงประสบการณ์ที่ผ่านมากว่า 40 ปี เช่น Turbo charging ที่มาพร้อมกับวาล์ว bypass ซึ่งนำมาใช้ครั้งแรกในปี 1972 ในรถแข่งรุ่น 917/10 ก่อนจะนำมาใช้กับรถสายการผลิตใน 2 ปีถัดมานั่นคือรุ่น 911 เทอร์โบ (911 Turbo) สำหรับในปี 1974 ระบบ Charge air cooling หรือการระบายความร้อนด้วยอากาศได้นำมาใช้ครั้งแรกกับรุ่น 917/10 และต่อมาในปี 1977 เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้กับ 911 เทอร์โบ 3.3 (911 Turbo 3.3) อีกหนึ่งการพัฒนาของเครื่องยนต์เทอร์โบคือ sequential turbo charging (ครั้งแรกที่ใช้ในรถซูเปอร์คาร์อย่าง 959) รวมถึงระบบ bi-turbo charging มาพร้อมกับ two parallel chargers ใช้ครั้งแรกใน 911 เทอร์โบ รุ่น 993 (911 Turbo 993) และระบบวาล์ว adjustable intake ใช้ครั้งแรกใน 911 เทอร์โบ รุ่น 996 (911 Turbo 996)
911 คาร์เรร่า (911 Carrera): อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงแบบเฉลี่ยอยู่ที่ 8.3-7.4 ลิตร/100 กิโลเมตร, (12.04-13.51 กิโลเมตร/ลิตร) วงจรขับขี่แบบในเมือง 11.7-9.9 ลิตร/100 กิโลเมตร (8.54-10.10 กิโลเมตร/ลิตร) วงจรขับขี่แบบนอกเมือง 6.3-6.0 ลิตร/100 กิโลเมตร (15.87-16.06 กิโลเมตร/ลิตร) อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ (CO2) 190-169 กรัม/กิโลเมตร;
911 คาร์เรร่า เอส (911 Carrera S) อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงแบบเฉลี่ยอยู่ที่ 8.7-7.7 ลิตร/100 กิโลเมตร, (11.50-12.98 กิโลเมตร/ลิตร) วงจรขับขี่แบบในเมือง 12.2-10.1 ลิตร/100 กิโลเมตร, (8.19-9.90 กิโลเมตร/ลิตร) วงจรขับขี่แบบนอกเมือง 6.6-6.4 ลิตร/100 กิโลเมตร; (15.15-15.62 กิโลเมตร/ลิตร) อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ (CO2) 199-174 กรัม/กิโลเมตร;
911 คาร์เรร่า คาบริโอเลต (911 Carrera Cabriolet): อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงแบบเฉลี่ยอยู่ที่ 8.5-7.5 ลิตร/100 กิโลเมตร, (11.76-13.33 กิโลเมตร/ลิตร) วงจรขับขี่แบบในเมือง 11.9-9.9 ลิตร/100 กิโลเมตร, (8.40-10.10 กิโลเมตร/ลิตร) วงจรขับขี่แบบนอกเมือง 6.5-6.2 ลิตร/100 กิดลเมตร; (15.38-16.12 กิโลเมตร/ลิตร) อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ (CO2) 195-172 กรัม/กิโลเมตร;
911 คาร์เรร่า เอส คาบริโอเลต (911 Carrera S Cabriolet): อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงแบบเฉลี่ยอยู่ที่ 8.8-7.8 ลิตร/100 กิโลเมตร, (11.36-12.82 กิโลเมตร/ลิตร) วงจรขับขี่แบบในเมือง 12.3-10.2 ลิตร/100 กิโลเมตร, (8.13-9.80 กิโลเมตร/ลิตร) วงจรขับขี่แบบนอกเมือง 6.7-6.5 ลิตร/100 กิโลเมตร, (14.92-15.38 กิโลเมตร/ลิตร) อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ (CO2) 202-178 กรัม/กิโลเมตร;
ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยเท่านั้น ที่มีศูนย์บริการมาตรฐานและทีมวิศวกรที่มากประสบการณ์ ซึ่งได้รับการฝึกอบรมจากทางโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีโดยตรงพร้อมการันตีด้วยรางวัล Porsche Service Excellence Award จากการตรวจสอบคุณภาพประจำปี รวมถึงทีมวิศวกรที่ได้รับการรับรองและผ่านการทดสอบจากโรงงานในระดับเหรียญทอง (Zertifizierter Porsche Techniker – Gold Expert) ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดของปอร์เช่คอยให้บริการรถปอร์เช่ของท่าน ตามนโยบายหลักของบริษัทที่ว่า "เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณ" หรือ "AAS Looking after YOU and your CAR" เพื่อก้าวเข้าสู่คำว่า AAS The Name you can Trust ความไว้วางใจที่ให้คุณได้มากกว่า ตลอดระยะเวลาดำเนินการมา กว่า 20 ปี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ปอร์เช่ได้ที่แผนกขาย โทร. 02-522-6655 ต่อ 101-103 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.porsche.co.th