กรุงเทพฯ--15 ก.ย.--อาร์เอส
อยู่ๆ ก็มีประเด็นดราม่าเมื่อ "ตั๊ก-มยุรา เศวตศิลา" พิธีกรคนเก่งจากรายการ "คุยเพลินเมืองไทย"ทาง ช่องเพลินทีวี ที่หมายเลข 10 ถอยรถป้าแดงให้ "น้องน้ำตาล" ลูกสาวสุดเลิฟ จนนักเลงคีย์บอร์ดรุมจวก โอเว่อร์ ไม่เหมาะสม ตามใจลูกเกินไป อ้างว่ายังเด็ก ความรับผิดชอบไม่พอ และยังมีประโยคแรงๆ อีกหลายคำ งานนี้พี่ตั๊กขอเปิดใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในรายการ "เปิดโปง" ทาง "ช่อง 2" ข่าวลึก บันเทิงร้อน โดย "สันติ เศวตวิมล" และ "เอ-วราภรณ์ แสนสุข" ทำหน้าที่พิธีกร ซึ่งเจ้าตัวเผยว่าไม่เคยแคร์กับคอมเม้นท์เหล่านั้น มั่นใจเลี้ยงลูกมาดี และทุกอย่างผ่านการไตร่ตรองมาแล้วอย่างถี่ถ้วน เมินถูกมองสปอยด์ลูกเกินเหตุ
ซื้อรถให้ลูกก็มีคนด่า นักเลงคีย์บอร์ดคอมเม้นท์ค่อนข้างแรง ?
"จริงๆ จะบอกเลยว่าไม่อ่าน แล้วก็จะโกรธมากถ้ามีใครส่งมาให้อ่าน"
บางคอมเม้นท์ก็ว่าลูกอายุ แค่ 18 เอง เหมาะแล้วเหรอกับการขับรถ ?
"คืออย่างนี้นะ พี่ก็เป็นคนหนึ่งที่เล่นโซเชี่ยลพวกนี้นะ เพราะเราก็ต้องตามกระแสในยุคปัจจุบัน ครั้งแรกเลยที่เห็นเราก็รู้ เพราะเราก็เคยไปดูของคนอื่น คือเราก็โลกสวยนิดๆ เราไม่ได้มีชีวิตอยู่โดยถกผ้าถุง ด่าทอกันในบ้าน เราไม่ใช่อย่างนั้น เวลาเราเห็น โอ้โหเขาด่ากันแรงนะ เชื่อมั้ยเวลาเราอ่านแล้วมันติดนะ ดูว่าเขาว่าอะไรกัน อันนี้พูดถึงคนอื่นนะคะ แล้วเราก็รู้สึกว่าน่าเห็นใจคนที่โดนว่าเพราะเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะออกมาตอบโต้ได้โดนเฉพาะเราซึ่งเป็นนักแสดง ตอนหลังพอใครเขาบอกพี่อ่านรึป่าว เขามาอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็บอกเราไม่อ่าน เรามีอะไรทำ ที่มันมีสาระมากกว่านี้ เราคิดอย่างนี้นะ เสร็จแล้ว พอมาถึงเรื่องเราเนี่ยอันนี้คือตรงกลางแล้ว เพราะหัวใจคือการซื้อรถ แล้วก็การไปลงในโซเชี่ยล พอเห็นวันนั้นเว็บอะไรสักอย่าง คนเข้ามาเยอะมาก แล้วก็คอมเม้นท์หลายร้อยมาก เชื่อไหม เราไม่กล้าอ่านคอมเม้นท์ เพราะเรารู้เลยว่ามันไม่ดี แล้วเราไม่ชอบฟัง เราก็เลยใช้วิธีไม่อ่านเลย บางทีน้องๆ ช่างผมเขาก็บอกเนี่ยพี่มันมีลง แต่เขาก็จะไม่บอกว่านะว่าโดนว่าอะไร แต่ก็มารู้ตรงนี้แหละ(ในรายการ) แล้วก็มารู้จากลูก ลูกเพิ่งเล่าเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็นั่นแหละ ไม่รู้ว่าเขาว่าอะไรจริงๆ รู้แต่ว่าด่า ไม่รู้ว่าด่าว่าอะไร"
อย่างที่อ่านให้ฟังก่อนหน้านี้ พี่ตั๊กว่าอันไหนเจ็บสุด ?
"ไม่เจ็บ ไม่รู้สึก เพราะว่าถ้าจะพูดไปแล้ว อันนี้ยังดีกว่าดาราบางคน อย่างอันแรกที่บอกว่าอายุ 18 เอง ขับรถได้แล้วเหรอ น้ำตาล(ลูกสาว) เนี่ยจะ 19 แล้ว ถามว่าขับได้แล้วเหรอหนู เราเตรียมตัวมา 2 ปีแล้วกับการขับรถ ถามว่าตัวเองเนี่ยค่อนข้างเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง การเลี้ยงลูกเมื่อเด็กๆ จนกระทั่งคุณหนุ่ย(สามี) บอกว่าตั๊กเอาตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ได้ เพราะมันเป็นคนละสมัย เพราะเมื่อตอนสมัยเด็กๆ ตั๊กตื่นมาตั๊กต้องจับไม้กวาด เราต้องทำห้องก่อน คราวนี้เราเลี้ยงลูกในยุคปัจจุบันเราไปบอกให้ลูกจับไม้กวาดทำห้องก่อนมันไม่ได้ ถามเรื่องอายุ 18 ขับรถ ไม่ขับวันนี้ก็ต้องขับวันหนึ่ง เตรียมตัวมาแต่แรกให้พ่อเขาพี่ต่อ(น้องชาย) ไปเรียนขับรถนะลูก ไปเรียนเสียเงิน 5,000 บาท ครอร์สหนึ่ง ลูกก็ขับเป็น จบแล้วก็ยังไม่ได้ขับ เพราะยังไม่มีรถ เขาก็ไม่เคยขอ ถ้าพูดถึงลูกวันนี้พรุ่งนี้มีลงโซเชี่ยลอีกว่าชมลูก(ยิ้ม) จำไว้นะ เพราะนั้นสิ่งที่พูดวันนี้ก็คือความจริง เรียนขับรถ เรียนหนังสือต่อเพราะเราก็รู้สึกว่าเขาเด็กจริงๆ แต่ทุกอย่างได้ถูกบ่มเพาะมาแล้ว จบไปแล้ว 6 เดือน หนูลืมรึยัง ไม่ลืมคะคุณแม่ ระหว่างนี้ก็ไปถอยเข้าถอยออกในบ้านนะ ไปกับคุณพ่อ แต่แม่ไม่นั่งนะ เพราะรู้เลยว่าเราจะคอยบอกเลี้ยวซ้ายนเลี้ยวขวา เราไม่ไว้ใจ ก็ให้ขับถอยเข้า ถอยออกก็ไม่มีอะไร ขับในหมู่บ้าน ไปยิมบ้าง เสร็จแล้วพอจะซื้อรถจริงๆ เขาก็ 18 กว่าแล้วนิจะ 19 แล้ว พอจะซื้อก็ไปเรียนอีกคอร์สก็ไปจ่ายเงินอีก 5,000 ให้ลูกไปเรียนอย่างดี เอาครูแม่สอนเลย แต่พ่อเขาคือน้องเราเนี่ยต้อไปด้วย เพราะต้องไปเฝ้ากันตลอด แล้วก็ไปให้ขับกระดึ๊บไปตั้งแต่ปากซอย จนกระทั่งไปถนนรามอินทรา จนกระทั่งไปถนนจตุจักร นั่นแหละคือถึงได้ซื้อรถ"
สอบใบขับขี่หรือยัง ?
"ยัง เอารถออกจนกว่าจะสอบในขับขี่เพราะกุญแจรถอยู่กับคุณแม่ เพราะคุณแม่ซื้อ ขอโทษนะไม่ได้คุณช่วงนั้นซื้อ 2 คัน ซื้อให้หลานคันหนึ่งก็เลยซื้อออกมา 2 คัน เสร็จแล้วก็จอดไว้เฉยๆ พอซื้อเสร็จก็เรียกลูกน้ำตาลมานี่ซิลูก คุณแม่ซื้อรถ หนูไม่ตื่นเต้นเลยเหรอ ไม่อยากขับ ไม่ไปเปิดดูเลย หนูกำลังงงอยู่ว่าหนูควรจะทำตัวยังไง รับผิดชอบยังไง นี่คือลูกเรา ลูกเราเป็นอย่างนี้ เขาก็ไม่มาจับ ไม่มาแตะ จนวันที่เขาเก่งแล้ว เขามีใบขับขี่ วันที่มีใบขับขี่มันไม่เหมือนสมัยเรา สมัยเรา รุ่นดิฉันจะทราบเลยนั่งสอบเขียน 2 ข้อ ตอบ 2 ข้อแล้วเขาก็ผลักเลยออกไปได้แล้ว ใต้โต๊ะ สมัยนั้นคือใต้โต๊ะ แต่เดี๋ยวนี้พี่ทราบว่าไม่มีแล้ว เสาร์อาทิตย์ลูกบอกต้องท่อง ไปธุระกับแม่ไปไม่ได้หนูต้องท่อง เราก็ท่องอะไร ลูกบอกสอบใบขับขี่ หนังสือหนา สอบได้คะแนนเต็ม ทั้งไปถอยหน้าถอยหลัง ซึ่งพี่ก็ไม่รู้ นั่นแหละเราถึงว่าเออเขาผ่านมาระดับหนึ่ง แต่ยังไม่จบ วันที่เอารถไป ถามว่าทำไมเราต้องศื้อรถให้ลูก ลุกอยู่หอนะ หอหญิงล้วน ตื่นขึ้นมาลูกต้องนั่งแท็กซี่ 35-40 บาท เพื่อไปมหาวิทยาลัย ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าระดับหนึ่งเราก็ห่วงลูกเรากับการนั่งแท็กซี่ จนกระทั่งวันหนึ่งลูกก็ต้องมีรถ เพราะขึ้นปี 2 แล้ว บอกลูกจำไว้นะ สัญญากับคุณแม่ก่อนว่ายูจะไปแค่หอ กับมหาวิทยาลัย ห้ามออกบางนาตราด ถ้าออกคุณแม่จะเสียใจไปตลอดชีวิต นั่นแหละ ถามว่าถ้าเราไม่ไว้ใจลูกเราจะไปไว้ใจใคร จะจับผิดเหรอ ลูกไปไหน ให้คนไปส่องดู เราต้องเชื่อใจเขากับการเลี้ยงลูกในยุคปัจจุบันนี้ทุกอย่างมันถูกเตรียมพร้อมมาหมด พี่ขับรถตอน 16 พี่ก็เอาตัวเองมาเทียบ เอ็งก็จะ 19 แล้วหนิ แต่จำไว้ว่าหามออกบางนาตราด ห้ามเลยตรงนี้ขับไปกินข้าวได้นิดหน่อย ถ้าเลยตรงนี้ออกไปกับเพื่อน เพราะเพื่อนมีรถทุกคน จะออกบางนาตราดให้รอคุณแม่ ไปเติมน้ำมันให้รอคุรแม่ มันฝึกกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่าไม่เป็นไรหรอก เรารู้ ครอบครัวเรารู้ คนอื่นไม่รู้ก็ไม่เป็นไร เขาหวัดี บางคนเขาว่าเหมือนน้องอะไรนะที่ไปชนบนทางด่วน ที่ตายหลายคน เขาบอกจะเป็นอย่างนั้น คืออยากจะบอกว่าครอบครัวใครก็ครอบครัวใคร แต่ละคนครอบครัวเราเลี้ยงกันมาไม่เหมือนกัน ถ้าเราไม่ไห้เกียนติ ไม่ไว้ใจลูกเรา เราจะไปไว้ใจใคร แต่เขาก็ต้องเชื่อเรา เราต้องรู้ธรรมชาติลูกเราว่าลูกเราเป็นคนยังไง"
บางคนมองตามใจลูกเกินไป ลูกยังเด็ก ?
"ลูกเด็กสำหรับเราตลอด แต่ในยุคปัจจุบันจะ 19 แล้วเนี่ย ไม่เด็กแล้วนะ เรามองว่าเขาโตแล้ เขาควรรับผิดชอบได้แล้ว เรากลัวมากเลยนะถ้าเลี้ยงลูกแล้ว ลูกไม่รู้เรื่องเลบย ลูกไปพารากอนไม่เป็น เวลาจะไปก็ต้องไปจอดส่งตรงรถไฟฟ้า กล้าให้ขึ้นรถไฟฟ้า ขากลับกลับกี่โมง ลูกบอก 5 โมง เราบอก 6 โมงมั้ย ลูกบอกไม่ 5 โมงดีกว่า 5 โมง 1 นาที เขามายืนรอ โทรศัพท์มาแล้ว เราฝึกกันมาแบบนี้ แล้วเราก็จะรู้ว่าเขารับผิดชอบตัวเองได้แค่ไหน"
รู้สึกยังไงคนมองเราในแง่ลบ ?
"คือจริงๆ พี่บอกจรงๆ นะพี่ไม่รู้สึก อย่างที่บอกว่าพี่ไม่ได้อ่าน แต่ตรงนี้(คอมเม้นท์ที่อ่านให้ฟัง) ไม่แรงหรอก ลูกก็มาพูดเราก็สอนลูกจำไว้นะลูก แก้เขาไม่ได้หรอก เขามีหน้าที่ที่จะมาคอมเม้นท์เพราะนั้นแก้ที่เรา เราต้องคิดว่าเขาเป็นครู พวกนี้คือครูเราหมด เขาทำให้เราเห็นรว่าอ๋อเขาเป็นคนอย่างนี้นะ คอยพิมพ์อย่างนี้เราต้องไม่เป็น เราห้ามไปว่าใครเพราะคนมันเป็นอย่างนี้ นี่คือเรื่องปัจจุบัน เราต้องยอมรับให้ได้"
น้องน้ำตาลนอยด์ไหมพอเจอแบบนี้ ?
"มาก วันนั้นที่คุยกันที่เชียงใหม่ครั้งแรก เรารู้สึกทำไมลูกมันเงียบๆ น้ำตาลมีปัญหาอะไร คุณแม่ทำไมหนูต้องทำอะไรเพื่อคนอื่น บางทีล่าสุดไปเชียงใหม่กันทั้งครอบครัว แต่งตัวแบบนี้ไม่ได้ลูก มันอย่างนั้นอย่างนี้ คุณแม่ทำไมหนูต้องทำอะไรเพื่อคนอื่น แล้วเด็กอินเตอร์เนี่ย ขนาดนี้เขาโอเคแล้ว ทำไมหนูใส่อย่างนี้ไม่ได้ ทำไมหนูหวีผมแบบนี้ทำไมคนต้องมามอง คุณแม่ไม่รู้ ถ้ายูเป็นดาราผู้ชาย อันนี้แอบว่านะ ถ้ายูเป็นดาราผู้ชายใหม่ๆ ยูจะไม่โดนว่า แต่ยูเป็นผู้หญิง ยูจะถูกหมั่นไส้ ว่าขนาดไหน อันนี้ไม่อยากให้ลูกฟัง เพราะเราจะลืมเรื่องนี้กันไปแล้ว "ลูกเลี้ยง" ทำไมการที่เราจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้ดี แล้วก็เป็นสายเลือดของเรา เลี้ยงแล้วบ่มเพาะให้เขามีความรับผิดชอบ ความเป็นนคนดีอยู่ในสังคมได้ ก็ยังมาพูดเรื่องนี้อีก ซึ่งเราลืมไปแล้วว่าเขาเป็นหลานยังอุตส่าไปขุดมา ท้องตอนไหน ไม่มีหนิ เขาก็มาพูด พี่ก็เหมือนอย่างที่บอกไปว่าให้คิดว่าเขาเป็นครู หนูไม่ใช่ดารา คนรู้แล้วล่ะ แต่หนูต้องรับตรงนี้ให้ได้ ก็บอกเขาอย่างนี้"
ติดตามรายการ "เปิดโปง" ได้ทาง "ช่อง 2" ข่าวลึก บันเทิงร้อน ทุกวัน จันทร์-ศกร์ เวลา 7.00/14.00/22.00 น. เสาร์-อาทิตย์ เวลา 7.00/15.30/22.00 น.และติดตามความเคลื่อนไหวทั้งหมดได้ที่facebook.com/thaich2