กรุงเทพฯ--15 ก.ย.--PRAD
กภ. ลดาวัลย์ ประทุมรัตน์
กายภาพบำบัด โรงพยาบาลธนบุรี 2
คนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าอาการปวดคอปวดหลังและปวดศรีษะอย่างไม่มีสาเหตุเป็นเรื่องปกติประจำวันเป็นได้ก็หายได้เองโดยไม่ต้องทานยาไม่ต้องรักษาไม่ต้องปรึกษาแพทย์แต่ที่จริงแล้วอาการเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกถึงการมาเยือนของ "ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)"โรคฮิตที่กำลังคุกคามคนทำงานออฟฟิศในขณะนี้
กลุ่มอาการนี้พบบ่อยในคนวัยทำงานออฟฟิศ ที่ต้องแข่งขันกับเวลา ประสบปัญหา กับภาวะความตึงเครียดจากที่ทำงาน และสภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่เหมาะสม การนั่งทำงานตลอดเวลา ไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย ผลที่ตามมามักจะส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ และปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ อาทิ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือหากปล่อยทิ้งไว้นานวันอาจส่งผลทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อ
เรื้อรังและโครงสร้างของกระดูกสันหลังผิดปกติ
ในปัจจุบันมีกลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่ต้องพึ่งยา หรือไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการดังกล่าว สูงถึงร้อยละ 60 ชีวิตสังคมเมืองที่เปลี่ยนไป ทำให้เรามีชีวิตที่แข่งขันกันสูงมากขึ้น วัน ๆ ต้องทำแต่งานกับงาน จนมองข้ามสุขภาพร่างกายของตัวเองไป กว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของคนเมือง มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็น โรคออฟฟิศซินโดรม หรือคอมพิวเตอร์ซินโดรม ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมการทำงาน อันเป็นผลพวงให้เกิดโรคร้ายต่าง ๆ ตามมา
ปัจจัยเสี่ยง ที่ก่อให้เกิดโรคฮิตของชาวออฟฟิต
1. สภาพแวดล้อมภายในที่ทำงานไม่เหมาะสม โดยเฉพาะคนที่นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกายส่งผลให้กล้ามเนื้อตึงเครียด เกิดการอักเสบ และปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ เช่น ปวดต้นคอ บ่า ไหล่ สะบัก หลัง เอว สะโพก และอาจปวดร้าวลงน่อง ขา
2. การใช้งานร่างกายอย่างไม่ถูกต้อง โดยมีพฤติกรรมและการปฏิบัติตัวแบบผิดๆตามความเคยชิน เช่น การนั่ง ยืนเดิน แม้กระทั่งการนอนในท่าทางที่เหมาะสมอาจทำให้เกิดการปวดเมื่อยและตึงกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆของร่างกายซึ่งในระยะยาวจะส่งผลให้แนวโครงสร้างของกระดูกสันหลังเคลื่อนออกจากตำแหน่งที่ถูกต้อง เกิดการโค้งงอของกระดูกสันหลังหมอนรองกระดูก สันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท และอาจก่อให้เกิดภาวะกระดูกเสื่อมตามมาในที่สุด ในระยะแรกอาการอาจไม่ปรากฎให้เห็น แต่เมื่อเกิดปัญหาสะสมมากถึงจุดหนึ่ง อาการต่างๆจะปรากฎฟ้องออกมาอย่างชัดเจน
3. ไม่ได้รับการดูแล รักษาอย่างถูกต้องผู้ที่มีอาการปวดเมื่อยตามส่วนต่างๆของร่างกายแรกๆเมื่อมีการพักการใช้งานขยับหรือ
เปลี่ยนท่าทาง ทานยา ทา ถู นวดหรือปล่อยไว้เฉยๆอาการดังกล่าวก็จะทุเลาหรือหายได้เองแต่เมื่อมีการใช้งานในอิริยาบทเดิมๆ บ่อยๆอาการดังกล่าวก็จะกลับมาเยี่ยมเยียนอีก คราวนี้จะขยับเขยื้อนจะบริหารร่างกายหรือพักยังไงอาการที่เกิดขึ้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะหาย จะนอนก็ปวด
จะนั่งก็ปวด จะยืนจะเดินก็ปวด ยิ่งทำงานยิ่งปวด จะพัก จะทานยาก็ไม่หาย ยิ่งปวด ยิ่งเครียด ยิ่งเป็นกล้ามเนื้อจะตึง เกร็งเป็นก้อนแข็งๆ มีอาการปวดศรีษะ หรืออาจพบการชาไปตามส่วนต่างๆของร่างกายเช่นแขน ปลายมือ ขา และฝ่าเท้าเป็นต้น นั่นหมายความว่าคุณอาจมีปัญหาที่กระดูก หรือโครงสร้างของร่างกายแล้ว
แนวทางการรักษา สามารถทำได้สองทางได้แก่
1. การรักษาที่อาการ แพทย์จะให้ยาประเภทที่มีฤทธิ์ระงับอาการปวด หรือคลายกล้ามเนื้อ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดชั่วคราว แต่ตัวยาดังกล่าวมีฤทธิ์ในการรักษาค่อนข้างสั้น เมื่อยาหมดฤทธิ์แล้วอาการต่างๆมักจะกลับมาหลอกหลอนตามเดิมการให้การรักษาด้วยวิธีการทางกายภาพบำบัดยังเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ใช้กับผู้ที่มีปัญหาและอาการดังกล่าวนักกายภาพบำบัดจะตรวจ ประเมินตามอาการ วิเคราะห์หาสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา และให้การรักษาด้วยวิธีการทางกายภาพบำบัดด้วยเครื่องมือ และเทคนิคต่างๆที่เหมาะสมกับพยาธิสภาพของผู้ที่มีปัญหา รวมทั้งแนะนำการออกกำลังกายการดูแลการป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากปัญหาดังกล่าวแต่ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าที่อาการดังกล่าวจะหาย แต่จะหายขาดหรือกลับมาเป็นซ้ำอีกหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของท่านเอง
การฝังเข็มก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ใช้รักษาเพื่อลดความเจ็บปวด ลดการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อ โดยผู้ฝังเข็มต้องเป็นแพทย์หรือผู้ที่ได้รับการสอนการฝึกฝนมาอย่างถูกต้องโดยจะทำการฝังเข็มไปตามตำแหน่งที่เกิดปํญหาและอาจมีการกระตุ้นด้วยไฟฟ้าร่วมด้วย
นอกจากนั้นหลายๆท่านยังชื่นชอบกับการรักษาด้วยวิธีการนวด กดจุด ผ่อนคลาย การจับเส้น การดัด ดึง นวดสปาหลากหลายทางเลือกใช้ ขึ้นอยู่กับความพอใจและความสะดวกสบายของแต่ละบุคคล หลายๆท่านมักมีคำถามว่า นวดได้ไหมผิดวิธีการรักษาหรือเปล่า คำตอบที่ให้คือ ไม่ผิดเลยหากจะรักษาด้วยวิธีการนวด หากเพียงแต่ขอร้องให้เลือกและพิจารณาผู้ที่จะนวดและวิธีนวดสักนิดว่ามีความรู้ ความสามารถ และเลือกใช้วิธีการนวดได้เหมาะสมกับเราหรือไม่
2. การรักษาที่สาเหตุของปัญหา หรือที่เรียกว่า " Active Therapy" จะให้ผลการรักษาที่ครอบคลุมยาวนานกว่าและมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้งน้อยมากเพียงแต่ต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างต่อเนื่อง การรักษาในแนวทางนี้มุ่งเน้นฟื้นฟูโครงสร้างที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา โดยใช้เทคนิคการจัดปรับโครงสร้างแก้ไขความสมดุลของร่างกายรวมไปถึงการพัฒนาสมรรถภาพความ
แข็งแรงของกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆของร่างกายแบบวิเคราะห์ตามจุดที่เกิดความผิดปกติและแก้ตรงจุดนั้นแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อลดปัญหาความเจ็บปวด และการกลับมาเป็นซ้ำอีกอย่างไรก็ดีแนวทางที่ดีที่สุดในการหลีกไกลจากโรคร้ายดังกล่าวคือการป้องกันเริ่มกันตั้งแต่เนิ่นๆ
โดยพยายามเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายในที่ทำงานให้เหมาะสมขอแนะนำว่าไม่ควรนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์หรือนั่งทำงานนานๆควรลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบททุกชั่วโมง ขณะเดียวกันก็ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทำให้กล้ามเนื้อได้เคลื่อนไหว และผ่อนคลาย จะทำให้บรรเทาอาการปวด เมื่อย ตึงคอ-บ่า-ไหล่-หลัง-เอว-ขา-น่อง ได้เป็นอย่างดี อย่าบอกว่าไม่มีเวลา การออกกำลังกายทำที่ไหน เมื่อไรก็ได้ นั่งทำงานก็ทำได้เช่นกัน
หากคุณเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือมีอาการดังกล่าวมาข้างต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง รู้ไว้เถอะค่ะว่าคุณเข้าข่ายเป็นคนอินเทรนด์ กำลังเป็นโรคฮิต "ออฟฟิศซินโดรม" ลองให้เวลาตัวเองสักนิด หันกลับมาสำรวจความผิดปกติของร่างกาย จะได้รู้ว่าร่างกายของเราส่งสัญญาณเตือนภัย ให้หันมาใส่ใจดูแลตัวเองได้แล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไข การบำบัดอาการปวดหลัง Back pain ปวดต้นคอ ออฟฟิศซินโดรม "Office Syndrome" ปรับเปลี่ยนบุคคลิกภาพที่ไม่ถูกต้อง หลังค่อม ไหล่ห่อ พุงป่อง บำบัดโรคกระดูกสันหลังคด Scoliosis การออกกำลังกาย การทำงาน การดำเนินชีวิตประจำวันอย่างถูกวิธี จะช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่า คุณเลือกที่จะรักษาหรือเลือกที่จะป้องกัน
มาพบ มาพูด มาคุยกับเราด้วยรอยยิ้มดีกว่ามารักษาค่ะ……ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ