กรุงเทพฯ--15 ก.ย.--IR network
TPCH เปิดยุทธศาตร์ภายใน 3 ปี รุดหน้าเปิดโรงไฟฟ้าชีวมวล 150 เมกะวัตต์ รายได้-กำไรโตต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าผุดโรงไฟฟ้า ชีวมวล 200 เมกะวัตต์ ภายในปี 63 ยึดหัวหาดภาคใต้เป็นหลัก ด้านผู้บริหาร "เชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล" ปลื้ม!! ก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลได้ตามแผน
นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TPCH) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีโครงการโรงไฟฟ้าที่จำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้แล้ว 1 โครงการ คือ โรงไฟฟ้า ช้างแรก ไบโอเพาเวอร์ (CRB) กำลังการผลิตเสนอขายจำนวน 9.2 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังมีอีก 5 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าชีวมวลแม่วงศ์ เอ็นเนอยี่ (MWE) ,โรงไฟฟ้าชีวมวลมหาชัย กรีน เพาเวอร์ (MGP),โรงไฟฟ้าชีวมวลทุ่งสัง กรีน (TSG),โรงไฟฟ้าชีวมวลพัทลุง กรีน เพาเวอร์ (PGP) และโรงไฟฟ้าชีวมวลสตูล กรีน เพาเวอร์ (SGP) ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ทำให้มีกำลังการผลิตเสนอขายรวมเพิ่มขึ้นอีก 43.6 เมกะวัตต์ และรายได้จากทั้ง 5 โครงการ ยังได้รับการสนับสนุนราคารับซื้อค่าไฟฟ้าจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแบบ Feed in Tariff (FiT) ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากการลดลงจากอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล ปัตตานี กรีน (PTG) กำลังการผลิตเสนอขาย 42 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น 2 เฟส เฟสละ 21 เมกะวัตต์ ซึ่งในเฟสแรก ได้รับใบตอบรับซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) เรียบร้อยแล้ว ส่วนเฟส 2 กำลังอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาต
"ปัจจุบัน TPCH มีบริษัทย่อยด้วยกัน 7 บริษัท มีแผนสำหรับโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลกำลังการผลิตทั้งหมด 106 เมกะวัตต์ ที่อยู่ในมือ โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าที่ขายไฟฟ้าแล้วมีกำลังการผลิตจำนวน 10 เมกะวัตต์ คือโรงไฟฟ้าชีวมวลช้างแรก ไบโอเพาเวอร์ (CRB) อยู่ระหว่างขั้นตอนของการก่อสร้างมีกำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างขั้นตอนการขออนุญาตมีกำลังการผลิต 46 เมกะวัตต์ ซึ่งในปัจจุบันโรงไฟฟ้าที่ได้รับใบอนุญาตจำนวน 83 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นระบบ ADDER 33 เมกะวัตต์ ได้แก่ CRB และ PTG (เฟส 1) และ ระบบ Feed in Tariff (FiT) 50 เมกะวัตต์ ได้แก่ MWE, MGP, TSG, PGP และ SGP ซึ่งกำไรสุทธิที่ได้รับจาก FiT จะสูงกว่าระบบ ADDER เติบโตขึ้นถึง 45-60% ซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิสำหรับโรงไฟฟ้าที่ได้รับระบบ FiT จะมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 45-50% ถือว่าบริษัทเติบโตได้ค่อนข้างจะเร็วมาก เพราะจากเดิมมี 10 เมกะวัตต์ แต่ตอนนี้มี 106 เมกะวัตต์ เติบโต 10 เท่า อีก 3 ปี ภาพของ TPCH ก็จะเติบโตทั้งรายได้และกำไร โดยเป็นการเติบโตที่มั่นคงแน่นอน เพราะบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่แน่นอนแล้ว ส่วนโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ได้ภายในปีนี้ก็คาดว่าจะมี MWE และ MGP เพราะทั้งสองโครงการมีความคืบหน้าในการก่อสร้างเกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในอนาคต" นายเชิดศักดิ์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2558 มีกำไรสุทธิ 6.90 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิเฉพาะไตรมาส 2/2558 มีกำไรสุทธิ 5.55 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3/2558 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าการเดินเครื่องจ่ายไฟฟ้า(COD) ของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลแม่วงศ์ เอ็นเนอยี่ มีความล่าช้าเล็กน้อย แต่ก็มั่นใจว่ายังสามารถควบคุมผลประกอบการให้มีกำไรที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง
"โรงไฟฟ้าเราไปตั้งอยู่ที่ไหนสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับชุมชน คือ ตามกฎหมายเราจะต้องมีการหักกองทุนพัฒนาชุมชนรอบโรงไฟฟ้าหนึ่งสตางค์ต่อการขายไฟหนึ่งหน่วย แต่นโยบายของ TPCH จะสบทบเพิ่มให้มากกว่าที่กฏหมายกำหนดเพื่อประโยชน์ของชุมชน เรามีโครงการ CSR เพื่อพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่องร่วมกับหน่วยงานราชการ องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) และหมู่บ้าน และที่ TPCH แตกต่างจากพลังงานทางเลือกอื่นๆ คือ เราขายไฟฟ้าให้กับภาครัฐ เงินที่ได้รับมาไม่ได้มาอยู่ที่ TPCH ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราเอาเงินส่วนหนึ่งไปซื้อเชื้อเพลิงกับเกษตรกร เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทุกโรงไฟฟ้าที่เราตั้งอยู่จึงมีเงินหมุนเวียนเพื่อการสร้างงาน สร้างรายได้ในพื้นที่ ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี นับเป็นความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน" นายเชิดศักดิ์ กล่าว
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง กล่าวอีกว่า บริษัทฯยังคงเดินหน้าก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลให้ได้ 200 เมกะวัตต์ภายในปี'63 ตามแผนที่วางไว้ โดยจะเน้นในพื้นที่ภาคใต้เป็นหลัก เนื่องจากบริษัทฯมีประสบการณ์และความชำนาญในการทำงานในพื้นที่ดังกล่าวมาอย่างยาวนาน ประกอบกับมีการวางกลยุทธ์บริหารจัดการเรื่องวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าชีวมวลที่เพียงพอสำหรับการดำเนินงานในระยะยาวอีกด้วย