กรุงเทพฯ--15 ก.ย.--IR network
ผู้บริหาร บมจ.น้ำตาลครบุรี (KBS) รับผลประกอบการปี 2558 จะต่ำกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากระดับราคาน้ำตาลในตลาดโลกผันผวนมากจากปัจจัยการอ่อนตัวอย่างมากของค่าเงินเรียลของบราซิล และผลตอบแทนของการผลิตน้ำตาลทรายขาว (White Premium) ที่แคบลงในปี 2558 และเชื่อว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวได้ในปี 2559 เนื่องจาก White Premium เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และบริษัทได้มีการดำเนินโครงการเพื่อเพิ่มมาร์จิ้นให้กับผลิตภัณฑ์โดยรวม นอกจากนั้นการขยายกำลังการผลิต 50% จะรับรู้ผลในปี 2559 และบริษัทคาดว่าผลกำไรจากการผลิตไฟฟ้าซึ่งดำเนินการโดยบริษัทลูกจะดีขึ้นอีกด้วย บริษัทยังคงดำเนินตามกลยุทธ์หลักที่จะสร้าง Sugar Energy Complex และพัฒนาศักยภาพของบริษัทในทุกด้านเพื่อเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจ อ้อย น้ำตาล และชีวพลังงาน
นายทัศน์ วนากรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) (KBS) เปิดเผยว่า KBS อยู่ในช่วงการพัฒนาเชิงกลยุทธ์ตามวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ต้องการเป็น "องค์กรชั้นนำในธุรกิจ อ้อย น้ำตาล และชีวพลังงาน" บริษัทได้ดำเนินการ 4 โครงการหลักเพื่อตอบโจทย์นี้ โครงการแรกคือ โครงการโรงไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง High-pressure boiler ขนาด 35 เมกะวัตต์ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จและเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ให้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามสัญญาชนิด firm 22 เมกะวัตต์แล้ว ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2558
โครงการที่ 2 คือ โครงการขยายกำลังการผลิตของโรงงานน้ำตาลเพิ่มอีก 12,000 ตันอ้อยต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นอีก 50% ของกำลังการผผลิตในปัจจุบัน โครงการนี้ดำเนินการไปแล้วร้อยละ 85 พร้อมคอมมิชชั่นนิ่งเดือนพฤศจิกายน และจะใช้หีบอ้อยในเดือนธันวาคมปีนี้ โครงการนี้ใช้เทคโนโลยี ดิฟฟิวเซอร์ (Diffuser) ซึ่งจะทำให้มี yield น้ำตาลดีขึ้น กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น จะช่วยลดปัญหาการติดคิวอ้อยของชาวไร่และจะส่งผลดีต่อการขยายพื้นที่ปลูกอ้อยของชาวไร่ในระยะยาว
โครงการที่ 3 คือ โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอลขนาด 200,000 ลิตรต่อวัน ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลอยได้จากการผลิตน้ำตาลอย่างครบถ้วน โครงการนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษาผลกระทบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 2560 ทั้งสามโครงการเมื่อสร้างแล้วเสร็จจะทำให้โรงงานน้ำตาลของ KBS เป็น Sugar Energy Complex ที่มีความสมบูรณ์ มีความทันสมัย สามารถแข่งขันได้กับโรงงานน้ำตาลขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนั้น บริษัทยังได้ริเริ่ม โครงการก่อสร้าง ไซโลปรับความชื้นน้ำตาล หรือ Conditioning Silo รวมถึงการปรับปรุงอาคารบรรจุน้ำตาลสมัยใหม่ซึ่งจะรองรับการผลิตน้ำตาลได้ 1,500 ตันต่อวัน โครงการนี้จะยกระดับคุณภาพน้ำตาลของบริษัท โดยเฉพาะน้ำตาลที่ส่งออกต่างประเทศ ทำให้บริษัทสามารถขายน้ำตาลได้ราคาดีขึ้น เพราะ trader จะยอมจ่าย premium เพิ่มเติมสำหรับ น้ำตาลที่ไม่จับตัวเป็นก้อนแข็งเมื่อส่งถึงลูกค้าปลายทาง นอกจากนี้ เพื่อให้เชื่อมต่อกับระบบ logistic ของบริษัทแบบครบวงจร บริษัทยังได้ลงทุนปรับปรุงอาคารบรรจุน้ำตาลของบริษัท โดยนำระบบอัตโนมัติ (automation) มากยิ่งขึ้น เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้ว ไซโลและอาคารบรรจุน้ำตาลจะสามารถรองรับน้ำตาลได้ 1,500 ตันต่อวัน และจะอำนวยให้สามารถบริหารจัดการรถบรรทุกและการขนส่งได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนของระบบจัดเก็บและขนส่งโดยรวม
"KBS มองภาพรวมธุรกิจน้ำตาลของประเทศไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เรายังคงลงทุนและพัฒนาอย่างต่อเนื่องในทุกด้าน เพื่อให้บริษัทอยู่ในตำแหน่งผู้นำซึ่งมีต้นทุนต่ำและแข่งขันได้ในระยะยาว นอกจากโครงการใหญ่ 3-4 โครงการที่มีเม็ดเงินลงทุนสูงแล้ว บริษัทยังทำงานร่วมกับชาวไร่เพื่อช่วยชาวไร่เพิ่มผลผลิตต่อไร่และขยายการปลูกอ้อย ส่วนในด้านการตลาด KBS ได้ออกผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบรนด์ของตัวเองซึ่งจะส่งผลดีต่อการขายและอัตรากำไรในอนาคต" นายทัศน์กล่าวถึงภาพรวมการพัฒนาตามแนวทางของ KBS
ในส่วนของผลประกอบการช่วง 6 เดือนแรกปี 2558 KBS มีกำไรรวม 229 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 35.9 ซึ่งเป็นผลจากระดับราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่อ่อนตัวลงมากตามปัจจัยค่าเงินเรียล บราซิลที่ปรับตัวอ่อนลงทำสถิติต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนั้น กำไรจากการผลิตน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลรีไฟน์ของบริษัทยังลดลงเนื่อจาก ผลตอบแทนการผลิตน้ำตาลทรายขาว (White premium) ในตลาดโลกลดลง ถึงแม้บริษัทจะได้รับประโยชน์จากกำไรจากการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากสัญญา firm 22 เมกะวัตต์ ที่เริ่มจ่ายไฟฟ้าให้ กฟผ. ในปีนี้ แต่กำไรดังกล่าวไม่สามารถชดเชยกำไรที่หายไปจากธุรกิจน้ำตาลได้
นายธาญทิฐ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการสายงานพัฒนาธุรกิจของ KBS ให้ความเห็นต่อกำไรของบริษัทที่ผันผวนในช่วงไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 ว่า "กำไรซึ่งเข้ามามากในไตรมาสที่ 1 เป็นผลจากการขายโมลาสในปริมาณที่สูง ส่วนไตรมาสที่ 2 ที่มีผลขาดทุน นั้น เป็นเพราะล็อตการขายน้ำตาลที่ส่งมอบให้ลูกค้าต่างประเทศในไตรมาสที่ 2 มีราคาขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งปี รวมถึงบริษัทต้องบันทึกผลขาดทุนทางบัญชีเกี่ยวกับการ hedging ราคาน้ำตาลจำนวน 50.5 ล้านบาท"
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 บริษัทจะต้องส่งมอบน้ำตาลอีกประมาณ 170,000 ตัน ราคาเฉลี่ยมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ 2 อย่างไรก็ตามจะมีปัจจัยลบจาก การบันทึกค่าซ่อมแซมเครื่องจักรประจำปีในไตรมาสที่ 3 และ 4
"ในภาพรวมของทั้งปี 2558 กลุ่มบริษัทจะมีกำไรลดลงเมื่อเทียบกับปี 2557 จากปัจจัยหลักคือราคาน้ำตาลและ White Premium เราเชื่อว่าโครงการที่บริษัทลงทุนในช่วงปีนี้ ซึ่งกำหนดเสร็จปลายปี คือ โครงการขยายกำลังการผลิต และโครงการ Conditioning Silo และการปรับปรุงอาคารบรรจุ ประกอบกับแนวโน้ม white premium ที่เริ่มขยับสูงขึ้น และเงินบาทที่อ่อนค่าลง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการของ KBS ขยับสูงขึ้นในปี 2559 รวมถึงโรงไฟฟ้าก็จะมีกำไรมากขึ้นจากประสิทธิภาพที่สูงขึ้นในปีที่สองของการประกอบการ" นายธาญทิฐกล่าวสรุป