กรุงเทพฯ--18 ก.ย.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ หรือ JWD ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ภาคพื้นดินแบบครบวงจร เคาะราคา IPO หุ้นละ 11 บาท หลังสำรวจความต้องการซื้อนักลงทุนสถาบัน เตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อ 21-23 ก.ย. ก่อนเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ 29 ก.ย.นี้ พร้อมลงนามแต่งตั้ง บล.กสิกรไทย เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย มั่นใจนักลงทุนให้การตอบรับดี ด้านผู้บริหาร บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ วางเป้าหมายเป็นผู้นำธุรกิจโลจิสติกส์ในอาเซียน เดินหน้าลงทุนขยายและก่อสร้างคลังสินค้าในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2558 บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ได้จัดพิธีลงนามในสัญญาแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของบริษัทฯ รวมทั้งแต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 3 ราย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัดและบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจากได้สำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book Building) ของนักลงทุนสถาบัน เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีช่วงราคาเสนอขายที่ 10.6-11.0 บาทต่อหุ้น พบว่ามีนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการซื้อที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 11.0 บาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินงานของ JWD จึงกำหนดราคาขายหุ้น IPO ในราคาหุ้นละ 11.0 บาท ซึ่งจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อวันที่ 21-23 กันยายนนี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 29 กันยายน 2558
สำหรับ บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ ได้เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 120 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 20 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 600 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนที่ออกจำหน่ายและชำระแล้วทั้งหมดจำนวน 480 ล้านหุ้น ซึ่ง JWD จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ก่อสร้างและขยายคลังสินค้าในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ
ทั้งนี้ บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ภาคพื้นดินอย่างครบวงจร (Fully Integrated In Land Logistics Service Provider) มีบริการแบ่งเป็น 5 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าบนพื้นที่ทั่วไปและเขตปลอดอากร (Free Zone) ซึ่งครอบคลุมการให้บริการสินค้าทั่วไป สินค้าอันตราย ยานยนต์และสินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็นและแช่แข็ง 2.ธุรกิจรับขนส่งสินค้าในประเทศและขนส่งสินค้าข้ามแดน เช่น ลาว เมียนมาร์ ฯลฯ 3.ธุรกิจรับขนย้ายในประเทศและต่างประเทศเจาะกลุ่มองค์กรและบุคคล โดยมีบริการขนย้ายสิ่งของเครื่องใช้ในที่พักอาศัย อุปกรณ์สำนักงาน อุปกรณ์เครื่องจักรและสิ่งของสำหรับงานแสดงสินค้าและศิลปะ 4.ธุรกิจรับฝาก จัดการเอกสารและข้อมูลแบบครบวงจรและ 5.ธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ให้เช่าอาคารและคลังสินค้ารวมถึงให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมีพื้นที่ให้บริการรับฝากสินค้ารวมทั้งสิ้น 779,743 ตารางเมตร
"JWD มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง ถือเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจด้านโลจิสติกส์ภาคพื้นดินในประเทศไทยและกำลังขยายธุรกิจออกไปในภูมิภาคอาเซียน รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น หลังประเทศสมาชิกในอาเซียนก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปลายปี 2558 จึงเชื่อมั่นว่าด้วยยุทธศาสตร์การดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มุ่งขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศนั้น จะทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นและให้การตอบรับที่ดีกับการจองซื้อหุ้น IPO ของ JWD ในครั้งนี้" นายแมนพงศ์ กล่าว
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ กล่าวว่า บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญการให้บริการลูกค้าที่มีลักษณะธุรกิจซับซ้อนกว่าปกติ เช่น การรับฝากเคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย ยานยนต์และส่วนประกอบน สินค้าแช่เย็นและแช่แข็งที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำ นอกจากนี้ยังเป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่ได้รับสัมปทานการให้บริการรับฝากและบริหารสินค้าอันตรายในเขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังเป็นระยะเวลา 30 ปี (ต.ค.2546-ต.ค.2576) ทำให้สินค้าอันตรายที่ผ่านเข้า-ออกท่าเรือแหลมฉบัง จะต้องผ่านคลังสินค้าอันตรายของบริษัทฯ เท่านั้น
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ได้วางเป้าหมายเป็นผู้นำธุรกิจโลจิสติกส์ในอาเซียน โดยปีนี้จะใช้งบฯ ลงทุนรวมกว่า 500 ล้านบาท ขยายพื้นที่รับฝากสินค้าและจัดซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างคลังสินค้าทั่วไปและคลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็นและแช่แข็งในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมาร์ ลาวและกัมพูชา มีพื้นที่รวม 6,490 ตารางเมตร รองรับธุรกิจค้าปลีกด้านอาหารที่กำลังขยายตัวในภูมิภาคนี้ คาดว่าโครงการทั้งหมดจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/59
ส่วนการลงทุนในประเทศไทย ได้ปรับปรุงพื้นที่คลังสินค้าภายในเขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นศูนย์เก็บและกระจายสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์ ขนาดพื้นที่ 9,000 ตารางเมตร คาดว่าจะให้บริการได้ในไตรมาส 1/59 และศูนย์กระจายสินค้าอันตรายในประเทศ 1 อาคาร มีพื้นที่ 6,000 ตารางเมตร จะเริ่มให้บริการได้ในไตรมาส 1/59 นอกจากนี้ยังได้ลงทุนซื้อเครนขาสูง 4 คัน ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการจัดเรียงตู้คอนเทนเนอร์สินค้าอันตรายสูงขึ้นเป็น 4-5 ชั้น ซึ่งทำให้บริษัทฯ สามารถให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
"เราพร้อมที่จะขยายธุรกิจอย่างเต็มที่ โดยจะขยายการลงทุนก่อสร้างคลังเก็บสินค้าในไทยและอาเซียนไปพร้อมกัน ซึ่งบริษัทฯ จะใช้ความเชี่ยวชาญจากการดำเนินธุรกิจมากว่า 35 ปี ผนวกเข้ากับการใช้ซอฟท์แวร์การบริหารจัดการคลังสินค้าและโลจิสติกส์เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ เพื่อขยายธุรกิจสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต" นายชวนินทร์ กล่าว