กรุงเทพฯ--21 ก.ย.--สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ
เพื่อกระตุ้นการพัฒนาความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ได้อย่างถูกต้อง "นพ.ไพโรจน์" ระบุไทยยังมีทุ่นระเบิดตกค้างประมาณ 435 ตารางกิโลเมตร ในพื้นที่ใน 15 จังหวัด พร้อมเตรียมขยายผลช่วยเหลือด้านสาธารณสุขแก่ผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิด
ที่ห้องประชุมบอลรูม C โรงแรมลายทอง จังหวัดอุบลราชธานี สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้จัดโครงการอบรมการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์สำหรับบุคคลากรผู้เก็บกู้ทุ่นระเบิด เพื่อกระตุ้นการพัฒนาความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ได้อย่างถูกต้อง โดยการจัดงานในครั้งนี้นั้นได้มีเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานการช่วยชีวิตผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิด (นปท.) กระทรวงการต่างประเทศ และองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงผลกำไร (NGOs) เข้าร่วมทำการอบรมเป็นจำนวนมาก
นพ.ไพโรจน์ บุญศิริคำชัย รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่าโครงการอบรมการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์สำหรับบุคคลากรผู้เก็บกู้ทุ่นระเบิดจัดขึ้นเพื่อกระตุ้นการพัฒนาความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้แล้วยังเป็นการประสานความร่วมมือและการสร้างสัมพันธ์ระหว่างสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ หน่วยปฏิบัติการช่วยชีวิตผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ และยังเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีทางการแพทย์ และประสบการณ์ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ จุดเกิดเหตุ โดยผู้เข้าร่วมอบรมจะได้เรียนรู้การประเมินและดูแลเบื้องต้นสำหรับผู้บาดเจ็บจากทุ่นระเบิด การจัดการทางเดินหายใจและการช่วยหายใจ (Airway & Breathing)การประเมินและจัดการภาวะช็อค (Shock: Assessment & Management)รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า ทั้งนี้ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งเป็นผลจากความขัดแย้งในประเทศเพื่อนบ้านและความไม่สงบจากสงครามต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต โดยเฉพาะบริเวณชายแดนยังไม่สามารถเก็บกู้ทุ่นระเบิดได้ทั้งหมด ทำให้ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บและพิการจากทุ่นระเบิดอยู่เสมอ และจากการเข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกในอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต โอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Convention on the Prohibition of the Use, Stockpiling, Production and Transfer of Anti-Personnel Mines and on their Destruction) หรือที่เรียกว่า "อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล" ประเทศไทยจึงได้ให้ความสำคัญต่อการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพิ่มมากขึ้นโดยจัดตั้งหน่วยงานเพื่อรับผิดชอบโดยเฉพาะคือ ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย (ศทช.ศบท.บก.ทท.) ขึ้นในเดือนมกราคม พ.ศ.2542
นพ.ไพโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จากการสำรวจพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสนามทุ่นระเบิดระหว่างปี 2543-2544 ได้ประมาณพื้นที่ซึ่งอาจมีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลตกค้างประมาณ 2,560 ตารางกิโลเมตร ในพื้นที่ 27 จังหวัด 84 อำเภอ 530 หมู่บ้าน และมีประชาชนได้รับผลกระทบ 503,682 คน ซึ่งในปัจจุบันมีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดเหลือ 15 จังหวัด และได้พื้นที่ปลอดภัยรวม 2,125 ตารางกิโลเมตร คงเหลือพื้นที่อันตรายที่ต้องดำเนินการเก็บกู้กวาดล้างอีก 435 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีพื้นที่ติดหรืออยู่ใกล้ชายแดน ส่วนมากบริเวณแนวชายแดนไทยและกัมพูชา
รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ประเทศไทยมีนโยบายสนับสนุนความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเพื่อส่งเสริมบทบาทในด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะการผลิตขาเทียมและการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกาย ที่ผ่านมามีหน่วยงานของประเทศไทยที่มีขีดความสามารถในเรื่องนี้ได้แก่องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงผลกำไร (NGOs) เช่น มูลนิธิขาเทียมฯ มูลนิธิพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ได้มีการจัดการฝึกอบรมช่างทำขาเทียม และการจัดบริการหน่วยเคลื่อนที่เพื่อผลิตและแจกขาเทียม แก่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เวียดนาม เมียนมาร์ รวมทั้งให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดน เช่น กัมพูชา เมียนมาร์
"นอกจากนี้ ประเทศไทยสามารถนำความร่วมมือทวิภาคีที่ให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านมาเชื่อมโยงและขยายผลต่อสำหรับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยภายใต้กรอบอนุสัญญาฯ อาทิเช่น ความร่วมมือทวิภาคีทางวิชาการกับลาว โดยประเทศไทยให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขในการพัฒนาระบบบริการของโรงพยาบาลหลายแห่ง ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดสำหรับความร่วมมือด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้ขยายผลต่องานนวัตกรรมต่างๆ อีกด้วย"นพ.ไพโรจน์ กล่าว