กรุงเทพฯ--21 ก.ย.--ได-อิจิ คิคากุ
บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ชวนสื่อมวลชนขับรถเที่ยวไปกับกิจกรรม "Isuzu D-Max Press Trip" สู่ "ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานท์กวี คนดีศรีอยุธยา" ในเส้นทางกรุงเทพฯ – พระนครศรีอยุธยา ร่วมสัมผัส และขับรถเที่ยวอดีตราชธานีของไทยที่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก เพียงแค่ขับรถออกจากกรุงเทพฯ ไม่ถึงชั่วโมง
สำหรับจังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้น มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย ในวันนี้อีซูซุขอเป็นไกด์จำเป็นพาทุกคนไปเที่ยวในสถานที่ๆ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าอยุธยายังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย นอกเหนือจากสถานที่สำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ เริ่มต้นเส้นทางกับขบวนรถ
อีซูซุดีแมคซ์หลากรุ่น ทั้ง "อีซูซุดีแมคซ์ วี-ครอส 4x4" "อีซูซุดีแมคซ์ ไฮแลนเดอร์" และ "อีซูซุดีแมคซ์ เอ็กซ์-ซีรีส์" ที่ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด สำนักงานใหญ่ ใช้เส้นทางถนนวิภาวดีรังสิตมุ่งหน้าถนนสายเอเซียโดยใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง สู่จุดหมายแรก "พิพิธภัณฑ์บ้านฮอลันดา" ซึ่งในอดีตเคยเป็นชุมชนของชาวดัตช์ที่มาทำการค้าอยู่ตั้งแต่สมัยอยุธยา สำหรับพื้นที่ในบ้านฮอลันดา ประกอบด้วยส่วนจัดแสดงนิทรรศการเชิงประวัติศาสตร์ โบราณคดี และเครื่องมือเครื่องใช้ อาทิ เครื่องกระเบื้องจีน เครื่องปั้นดินเผา กล้องสูบยาของดัตช์ และเหรียญเงินตราดัตช์ ที่ถูกขุดพบ ส่วนชั้นล่างจะเป็นส่วนของร้านค้า และคาเฟ่เก๋ๆ ริมแม่น้ำสำหรับผ่อนคลายอิริยาบท ให้กับผู้เยี่ยมชม บ้านฮอลันดาแห่งนี้ เปิดทำการทุกวันพุธ – วันอาทิตย์ ระหว่างเวลา 9.00 – 17.00 น. และมีค่าเข้าชมท่านละ 50 บาท
เมื่อเสร็จสิ้นจากการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านฮอลันดาเรียบร้อยแล้ว คณะสื่อมวลชนได้แวะพักรับประทานอาหารกลางวันกันที่ ร้าน "ครัวย่าบัว" ร้านอาหารที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศของวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ริมแม่น้ำป่าสัก เมื่ออิ่มท้องแล้วคณะสื่อมวลชนได้ขับรถอีซูซุลัดเลาะต่อไปยัง "หมู่บ้านตีมีดอรัญญิก" ที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ปัจจุบันมีดอรัญญิกยังคงเป็นความภาคภูมิใจของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพราะมีดอรัญญิกนั้นขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรงทนทาน อีกทั้งงานใบมีดยังสวยงามประณีต นับเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นอันล้ำค่าที่ชาวบ้านต้นโพธิ์ และชาวบ้านหนองไผ่นั้นภาคภูมิใจ นอกจากนี้สื่อมวลชนยังได้ร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่ ด้วยการทดสอบฝีมือในการตีมีด บอกได้เลยว่างานนี้ไม่ง่าย กว่าจะได้มีดมาแต่ละเล่ม ทั้งเหนื่อย ทั้งร้อน ทำเอาต้องปาดเหงื่อไปตามๆ กัน ก่อนกลับก็ไม่ลืมที่จะเลือกซื้อมีดอรัญญิกติดไม้ติดมือกลับบ้าน ก่อนจะเดินทางสู่จุดหมายต่อไปคือ "วัดโลกยสุธาราม"
เมื่อคณะสื่อมวลชนเดินทางมาถึง "วัดโลกยสุธาราม" จึงได้พบกับพระพุทธไสยาสน์ ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอยุธยา ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง ก่ออิฐถือปูน มีความยาว 42 เมตร และสูง 8 เมตร ตั้งอยู่ใกล้กับเขตพระราชวังโบราณและวัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดโลกยสุธารามแห่งนี้มีผู้เดินทางมาสักการะอยู่เสมอจนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เพราะมีความเชื่อที่ว่า การที่ได้มานมัสการพระพุทธไสยาสน์ วัดโลกยสุธารามซึ่งมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยเมตตาบารมี นั้นถือเป็นนิมิตหมายอันดี ที่ช่วยส่งเสริมสิริมงคลในชีวิต และให้คุณค่าด้านเมตตามหานิยมแก่ผู้นั้นด้วย เมื่อคณะสื่อมวลชนได้เข้าไปกราบไหว้สักการะ และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเรียบร้อยแล้ว จึงได้เดินทางต่ออีกครั้งสู่ "ศาลา อยุธยา" ซึ่งเป็นที่พักของพวกเราในคืนนี้
"ศาลา อยุธยา" เป็นบูติคโฮเทลน้องใหม่ในเมืองกรุงเก่า โดดเด่นด้วยตัวอาคารสีขาว ตั้งเด่นอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทางเดินเข้าไปยังล็อบบี้ เป็นกำแพงอิฐสูงดูแปลกตา ฝั่งตรงข้ามของโรงแรมยังเป็นที่ตั้งของ วัดพุทไธศวรรย์ หนึ่งในวัดที่สวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัด ด้วยสถานที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำทำให้รู้สึกเพลิดเพลินกับความงดงามของสถาปัตยกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา ก่อนจะได้เวลาออกไปรับประทานอาหารเย็นกันที่ร้าน "บ้านไม้ริมน้ำ" ที่อยู่ไม่ไกลออกไป โดยไฮไลท์ของมื้อนี้อยู่ที่กุ้งแม่น้ำเผาตัวใหญ่ๆ ทำให้ทุกคนอิ่มหนำสำราญใจ ก่อนกลับเข้าที่พักเพื่อแยกย้ายกันไปพักผ่อน และนัดหมายมาพบกันใหม่อีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อใส่บาตรอาหารแห้งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนโบกมืออำลา เดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพด้วยความสุขใจ