กรุงเทพฯ--22 ก.ย.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บมจ. มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล (KOOL) ผู้จัดจำหน่ายพัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรม เจ้าของแบรนด์ "MASTERKOOL" และ "Cooltop" พร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai 23 ก.ย. นี้
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ. มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล (KOOL) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในกลุ่มบริการ วันที่ 23 กันยายนนี้ โดย KOOL ดำเนินธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความเย็น อาทิ พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรม ภายใต้ตราสินค้า "MASTERKOOL"และ "Cooltop" นอกจากนี้ ยังมีบริการให้เช่าใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ รวมถึงออกแบบติดตั้งระบบระบายความร้อนในโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้า มีบริษัทย่อยดำเนินธุรกิจออกแบบและติดตั้งระบบโอโซนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จัดจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางที่หลากหลาย ทั้งห้างค้าปลีกสมัยใหม่และเว็บไซต์ ตัวแทนจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งจัดจำหน่ายและบริการโดยตรงผ่านบริษัท
KOOL มีทุนชำระแล้ว 120 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 360 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 120 ล้านหุ้น เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 16-18 กันยายน 2558 ในราคาหุ้นละ 1.80 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 216 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 864 ล้านบาท มีบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายนายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บมจ. มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล (KOOL) เปิดเผยว่าบริษัทมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาผลิตภัฑณ์ทำความเย็น โดยมีประสบการณ์ในธุรกิจกว่า 13 ปี มีจุดแข็งเรื่องการเป็นผู้คิดค้นและออกแบบผลิตภัณฑ์เองทำให้สามารถพัฒนาสินค้าที่ลดอุณหภูมิได้ดีกว่าคู่แข่ง การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโต โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สร้างคลังสินค้า และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการขยายตัวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
KOOL มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มนายนพชัย วีระมาน ถือหุ้น 26.50% นายฟัง เม็ง ฮอย ถือหุ้น 16.91%และบริษัทร่วมทุน เค-เอสเอ็มอี จำกัด ถือหุ้น 6.91% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ที่ 32.81 เท่า คำนวณจากผลประกอบการในรอบ 4 ไตรมาสที่ผ่านมา (1 กรกฎาคม 2557- 30 มิถุนายน 2558) ซึ่งเท่ากับ 26.33 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.05 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลของงบการเงินเฉพาะกิจการ และหลังหักสำรองตามกฏหมายและเงินสะสมอื่นๆ
รายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่www.masterkool.com และที่เว็บไซต์ www.set.or.th