กรุงเทพฯ--23 ก.ย.--IR network
ผถห.SENAไฟเขียวเพิ่มทุนไม่เกิน 262 ล้านหุ้น ขาย ROเคาะราคาส่วนลดไม่เกิน 50% ของราคาตลาดเตรียมเข้าถือหุ้น TTRE 99.9995% ลุยโซลาร์ฟาร์มกำลังการผลิต 46.5 MWคาดก่อสร้างเสร็จสิ้นปีนี้ เริ่มรับรู้รายได้ในปี"59 ผลตอบแทน11-14% ต่อปี
ผู้ถือหุ้น บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) อนุมัติเพิ่มทุนไม่เกิน 262 ล้านหุ้น ขาย RO ในราคาส่วนลดไม่เกิน 50% ของราคาตลาด เตรียมเข้าลงทุนใน TTRE 99.9995% ใช้เป็นทัพหน้ารุกธุรกิจพลังงานทดแทน เปิดฉากร่วมกับบีกริมฯ ลุย โครงการโซลาร์ฟาร์มกำลังการผลิต 46.5 MW มูลค่าโครงการ 3.3 พันล้านบาท "ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์"ขอบคุณผู้ถือหุ้นที่พร้อมใจโหวตสนับสนุนแผนเพิ่มทุนในครั้งนี้ มั่นใจช่วยต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน คาดการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และเริ่มรับรู้รายได้ในปี"59 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11-14% ต่อปี
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทเมื่อวันที่ 22 กันยายน มีมติอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญของ บริษัท ที ที รีนิวเอเบิ้ลเอนเนอร์ยี่ จำกัด (TTRE) จำนวน 425,998 หุ้น ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 99.9995 ของทุนจดทะเบียน ในราคาตามมูลค่าหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 425,998,000 บาท ซึ่ง TTRE ลงทุนในกิจการที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยร่วมกับบริษัท บี.กริมเพาเวอร์ จำกัด (BGP) เพื่อถือหุ้นของบริษัท บี.กริม ทีทีอาร์อี โซลาร์ เพาเวอร์ จำกัด (BGTTRE) ในสัดส่วนร้อยละ 51 และ 49 ตามลำดับ
โดย BGTTRE จะประกอบกิจการลงทุนในกิจการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (Solar Farm) ขนาดกำลังการผลิต 46.5 เมกะวัตต์ (MW) มูลค่าเงินลงทุนในส่วนของ TTRE ประมาณ 1,701.4 ล้านบาท จากมูลค่าเงินลงทุนของโครงการทั้งหมดประมาณ 3,336.0 ล้านบาท
นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นยังมีมติอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ ขึ้นอีก 351,760,533 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 882,749,924 บาท เป็น 1,234,510,457 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่ จำนวน 351,760,533 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท เพื่อรองรับการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ แบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate)
โดยจะจัดสรรหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 262,763,037 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนจำนวนที่ผู้ถือหุ้นแต่ละคนถืออยู่ (Right Offering) และเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) จำนวน 87,587,679 หุ้น ส่วนที่เหลืออีกจำนวนไม่เกิน 1,409,817 หุ้น จัดสรรเพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทให้แก่ผู้บริหารและพนักงานของบริษัท และ/หรือ บริษัทย่อย ครั้งที่ 4 (SENA-WD) และการปรับสิทธิสำหรับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ที่ออกให้แก่ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ และ/หรือ บริษัทย่อย ครั้งที่ 1 (SENA-WA), ครั้งที่ 2 (SENA-WB) และครั้งที่ 3 (SENA-WC)
สำหรับราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในส่วนที่จะเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมกำหนดราคาเสนอขายที่มีส่วนลดไม่เกินร้อยละ 50 ของราคาตลาด (คำนวณโดยอ้างอิงกับราคาซื้อขายถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 15 วันทำการก่อนวันที่คณะกรรมการมีมติกำหนดราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน) และในส่วนของบุคคลในวงจำกัด กำหนดราคาเสนอขายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของราคาตลาดตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศ ทจ.28/2551 และประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่ สจ.39/2551 เรื่องการคำนวณราคาเสนอขายหลักทรัพย์และการกำหนดราคาตลาดเพื่อการพิจารณาการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ในราคาต่ำ (ประกาศ สจ. 39/2551) อย่างไรก็ตาม ราคาเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อบุคคลในวงจำกัดนี้จะไม่ต่ำกว่าราคาเสนอขายหุ้นต่อผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน
"ต้องขอขอบคุณผู้ถือหุ้นทุกท่านที่สนับสนุนแผนเพิ่มทุนในครั้งนี้ และมั่นใจว่าการตัดสินใจเข้าลงทุนใน TTRE เพื่อใช้เป็นตัวแทนในการลงทนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ SENA ในหลายๆ ด้าน เริ่มตั้งแต่การทำให้มีแหล่งรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว โดยคาดว่าโครงการที่ TTRE ไปลงทุนจะได้กำไรในอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสม โดยมีผลตอบแทนโครงการประมาณ 11-14% ต่อปี อีกทั้งยังช่วยลดระยะเวลาการขอใบอนุญาตต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการทำโครงการ Solar Farm ทำให้มีรายได้จากการประกอบการได้เร็วกว่าการเริ่มต้นขอใบอนุญาตต่างๆ และเริ่มลงทุนก่อสร้างด้วยตนเอง และที่สำคัญ SENA จะมีประสบการณ์จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อใช้ต่อยอดการผลิตไฟฟ้า Solar Farm และ Solar Rooftop ซึ่งเป็นธุรกิจที่สามารถต่อยอดกับธุรกิจอสังหาฯได้เป็นอย่างดี โดยคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้ และเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2559"ผศ.ดร.เกษรากล่าว
กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวอีกว่า การเข้ารุกธุรกิจพลังงานของบริษัทถือเป็นการตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจได้อย่างลงตัว เพราะธุรกิจพลังงานทดแทนจะช่วยเพิ่ม Recurring Income (รายได้ประจำ) ให้แก่บริษัทเป็นมากกว่า 10% จากปัจจุบันที่ 8% ซึ่งจะทำให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ขณะเดียวกัน ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจในโลกยุคใหม่ที่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม และสังคม