กรุงเทพฯ--24 ก.ย.--ปูนซีเมนต์นครหลวง
บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ประกาศขยายธุรกิจปูนซีเมนต์ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดการค้าและการลงทุนจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเอเอีซี ร่วมลงทุนก่อสร้างและดำเนินกิจการโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ ในประเทศกัมพูชาเป็นประเทศแรก
โดยเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2558 บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุน ตามมติคณะกรรมการบริษัทที่ได้อนุมัติให้บริษัทฯ เข้าทำสัญญาเพื่อลงทุนโดยตรงในหุ้นสัดส่วนร้อยละ 40 ในบริษัทร่วมทุน ชื่อ บริษัท ชิป มง ซีเมนต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Chip Mong Cement Corporation Limited) โดยกลุ่มผู้ร่วมลงทุนอื่น ได้แก่บริษัท ชิป มง กรุ๊ป จำกัด (Chip Mong Group Co., Ltd.) และบุคคลธรรมดาอีก 3 ราย ซึ่งมีชื่อเรียก รวมกันว่าซีเอ็มจี (CMG)
นายศิวะ มหาสันทนะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ รองประธานอาวุโส (การตลาดและการขาย) รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ทั้งนี้เราคาดว่าการดำเนินการ ร่วมทุน ในครั้งนี้ จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ภายในเดือนธันวาคม 2558 ภายหลังจากที่การดำเนินการร่วมทุนเสร็จสมบูรณ์ แล้ว จะทำให้บริษัทร่วมทุนนี้มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 150 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็น หุ้นสามัญจำนวน 75,000 หุ้น โดยมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 2,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งการถือครองหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 40 ของบริษัทฯ ถือเป็นอัตรา ไม่เกิน 60 ล้านเหรียญสหรัฐ และการถือครองหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 60 ของ CMG ถือเป็นอัตราไม่เกิน 90 ล้าน เหรียญสหรัฐ บริษัทร่วมทุนนี้จะใช้ชื่อว่า บริษัท ชิป มง อินทรี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Chip Mong Insee Cement Corporation Limited)"
"กัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศที่นักลงทุนให้ความสนใจ เพราะกำลังอยู่ในระหว่างการเปิดประเทศ อีกทั้งมีมาตรการ ส่งเสริมการลงทุนที่จูงใจนักลงทุนจากทั่วโลก มีค่าแรงที่ต่ำ และมีตัวเลขการเจริญเติบโตที่สูงประเทศหนึ่งของ ภูมิภาคนี้ ปูนอินทรีมองเห็นว่าธุรกิจการก่อสร้างในกัมพูชาจะมีการขยายตัวอย่างมากเพื่อรองรับการลงทุนต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น"
สำหรับโรงงานผลิตปูนอินทรีที่กำลังจะสร้างในประเทศกัมพูชานี้ จะเป็นโรงงานเตาเผาแบบแห้งที่มีกำลังการผลิต ถึง 1.5 ล้านตันต่อปี
"เรามั่นใจว่านี่เป็นก้าวแรกที่มั่นคง ในการร่วมลงทุนในประเทศกัมพูชาในครั้งนี้ ในขณะเดียวกัน เรายังคงมองหา โอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ในกลุ่มประเทศอาเซียนโดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และ เวียดนาม) อนึ่งเรายังยึดถือพันธกิจของเราที่จะบรรลุซึ่งผล ด้วยการปฏิบัติงานที่มุ่งมั่นในคุณภาพ บริการและ นวัตกรรม และเพื่อวางรากฐานของอนาคตให้กับสังคมที่เราดำเนินธุรกิจ เพื่อความมั่นคงอย่างยั่งยืน" นายศิวะ สรุป