กรุงเทพฯ--28 ก.ย.--ทริสเรทติ้ง
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงบน ตลอดจนกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า และรายได้ที่เติบโตอย่างมั่นคง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูงและอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ลดลงหลังจากสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าลดลง ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง ตลอดจนระดับหนี้สินต่อครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น และการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันและฐานะการเงินเอาไว้ได้ในระยะปานกลาง โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 15% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทไม่ควรอยู่ต่ำกว่า 10% นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนยังคาดว่าจะอยู่ในช่วง 50%-60% ทั้งนี้ อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับลดลงหากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมาก หรือหากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนสูงเกินกว่าระดับ 60% ในระยะเวลาที่ต่อเนื่อง ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับขึ้นหากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ประมาณ 15% และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงมาอยู่ที่ระดับ 50%-55% ได้อย่างต่อเนื่อง
บริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อตั้งในปี 2532 กลุ่มตระกูลชินวัตรได้ซื้อกิจการของบริษัทในปี 2538 จากนั้นบริษัทก็เริ่มดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าโดยทำการพัฒนา "อาคารชินวัตร 3" เป็นโครงการแรก บริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจในปี 2546 โดยเน้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีเดียวกัน ณ เดือนพฤษภาคม 2558 บริษัทยังคงมีกลุ่มตระกูลชินวัตรเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 60% ของหุ้นทั้งหมด บริษัทนำเสนอสินค้าที่อยู่อาศัยที่หลากหลายซึ่งประกอบไปด้วย บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์โฮมออฟฟิศ และคอนโดมิเนียม
โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทเน้นลูกค้าที่มีรายได้ในระดับปานกลางถึงสูง โดยมีราคาขายเฉลี่ยต่อหลัง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 อยู่ที่ 7.5 ล้านบาท บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยจำนวน 33 โครงการ ด้วยมูลค่าเหลือขายประมาณ 24,000 ล้านบาท และมียอดขายรอการส่งมอบประมาณ 9,200 ล้านบาท โดยจะทยอยส่งมอบให้แก่ลูกค้าในช่วงปี 2558-2561 ในช่วงปี 2557 ถึงครึ่งแรกของปี 2558 รายได้จากโครงการแนวราบได้แก่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 55% ของรายได้รวม ในขณะที่รายได้จากคอนโดมิเนียมคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 38% ส่วนรายได้จากค่าเช่าอยู่ที่ประมาณ 7% ของรายได้รวม
ในปี 2557 ยอดขายของบริษัทอยู่ที่ 8,542 ล้านบาท ลดลง 37% จากปีก่อน ยอดขายที่ลดลงเนื่องจากบริษัทเปิดขายโครงการใหม่น้อยลงในปี 2557 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความไม่สงบทางการเมืองในเขตกรุงเทพฯ และบริเวณใกล้เคียงในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 รวมทั้งภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ในขณะที่ยอดขายในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 เท่ากับ 5,930 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 71% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายของบริษัทจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 11,000-14,000 ล้านบาทต่อปีได้ในช่วงปี 2558-2561
รายได้รวมของบริษัทในปี 2557 อยู่ที่ 12,601 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จาก 10,031 ล้านบาทในปี 2556 ทั้งนี้ รายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเป็น 11,750 ล้านบาทในปี 2557 จาก 9,201 ล้านบาทในปี 2556 ในขณะที่รายได้จากค่าเช่าคงตัวอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาทต่อปี ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 5,913 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดขายบ้านเดี่ยวยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักในการสร้างรายได้ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 12,000-15,000 ล้านบาทในช่วงปี 2558-2561 โดยคาดว่าบริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องด้วยมูลค่าขายปีละ 15,000-20,000 ล้านบาท
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับปานกลาง อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 37% ของรายได้รวมในช่วงปี 2555 จนถึงครึ่งแรกของปี 2558 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ลดลงเป็น 16.3% ในครึ่งแรกของปี 2558 เมื่อเทียบกับ 16.9% ในปี 2557 ถึงแม้ว่าต้นทุนค่าก่อสร้างจะลดลง แต่อัตรากำไรจากการดำเนินงานคาดว่าจะไม่เพิ่มขึ้นไปจากระดับเดิมมากนักเนื่องจากราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นและบริษัทต้องมีค่าใช้จ่ายการตลาดและการบริหารที่เพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นยอดขายในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัวในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทไม่น่าจะต่ำกว่าระดับ 15% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากการส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการ
ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นและบริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีกหลายโครงการ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 55.1% จากระดับ 54% ณ สิ้นปี 2557 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทในครึ่งแรกของปี 2558 (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) อยู่ที่ 13.1% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 12.8% ในปี 2557 บริษัทใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินและค่าก่อสร้างโครงการจากวงเงินกู้ยืมจากธนาคารและการออกหุ้นกู้ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ลดลงเป็นผลให้อัตราส่วนหนี้สินที่มีหลักประกันต่อทรัพย์สินรวมต่ำกว่าระดับเกณฑ์ที่ 20% ส่งผลให้อันดับเครดิตหุ้นกู้อยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท
บริษัทมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีเงินสดในมือประมาณ 868 ล้านบาทและมีวงเงินที่ไม่ได้เบิกใช้จากสถาบันการเงินอีกจำนวน 3,639 ล้านบาท ในขณะที่ภาระหนี้ที่จะครบกำหนดในอีก 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 3,475 ล้านบาท โดยประมาณ 83% เป็นเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และอีก 17% ที่เหลือเป็นหุ้นกู้ บริษัทมีแผนจะชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคารด้วยกระแสเงินสดที่จะได้รับจากการโอนโครงการที่ยังไม่ได้ส่งมอบและจะชำระคืนหุ้นกู้ด้วยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่
บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SC)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
SC16OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 BBB+
SC186A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 BBB+
SC191A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable