UB9 : สหธนาคาร เตรียมเพิ่มทุนอีกไม่น้อยกว่า 2,500 ล้านบาท

ข่าวทั่วไป Thursday January 22, 1998 14:50 —ThaiPR.net

กรุงเทพ--22 ม.ค.--สหธนาคาร
การเจรจาเลือกพันธมิตรร่วมทุนรายใหม่ของสหธนาคารใกล้สำเร็จ โดยมี Dresdner Klelnwort Benson Limited จากอังกฤษ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ช่วยประสานงานคัดเลือกกลุ่มพันธมิตรใหม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับกลุ่มสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่ง ทั้งจากยุโรป เอเชีย และสหรัฐฯ เตรียมเพิ่มทุนใหม่ไม่น้อยกว่า 2,500 ล้านบาท ภายใน มี.ค.นี้ เผยผลประกอบการปี 2540 แม้จะมีกำไรจากการดำเนินงานทั้งปี 397 ล้านบาท แต่จากการที่ธนาคารเดินหน้าตามมาตรการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถาบันการเงินของทางการครบถ้วนทุกมาตรการ ทั้งการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การรับรู้รายได้ดอกเบี้ยค้างรับ ตลอดจนการกันสำรองสินทรัพย์จัดชั้นและนำส่งเงินสมทบกองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งรวมเป็นเม็ดเงินทั้งปีกว่า 2,205 ล้านบาท และต้องสำรองหนี้สูญขาดทุนจากการสั่งปิด 56 ไฟแนนซ์ อีก 87 ล้านบาท ส่งผลให้ธนาคารมีผลประกอบการปี 40 เป็นขาดทุนจำนวน 1,895 ล้านบาท แต่จะเป็นผลดีต่อฐานะการเงินในระยะยาว เพราะเป็นการขาดทุนจากการปฏิบัติตามมาตรการเพื่อสร้างความแข็งแกร่งตามเกณฑ์ของ ธปท.
นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร สหธนาคาร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการเพิ่มทุนจดทะเบียนของธนาคารว่า หลังจากที่ได้ทำการเพิ่มทุนจำนวน 1,000 ล้านบาท โดยได้เรียกชำระเสร็จสิ้นทั้งหมด เมื่อเดือนตุลาคม 2540 ที่ผ่านมา ทำให้ธนาคารมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเป็น 1,800 ล้านบาทนั้น หลังจากการเพิ่มทุนครั้งนี้แล้ว ธนาคารได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินคือ Dresdner Klelnwort Benson Limited จากประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญและได้รับการยอมรับให้เป็นผู้ประสานงานคัดเลือกกลุ่มสถาบันการเงินต่างประเทศ ที่สนใจจะเข้าร่วมทุนเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Partner) กับธนาคารสหธนาคาร ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก โดยอยู่ระหว่างการเจรจากับกลุ่มสถาบันการเงินชั้นนำผู้สนใจ และมีทิศทางนโยบายการทำธุรกิจที่สอดคล้องกับธนาคารหลายราย ทั้งจากยุโรป เอเชีย และสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะได้ข้อสรุปถึงกลุ่มพันธมิตรใหม่ภายในเดือนมีนาคมนี้ โดยจะทำการเพิ่มทุนอีกไม่น้อยกว่า 2,500 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ธนาคารมีเงินทุนจำนวนมากในการรองรับการทำธุรกิจ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานะกองทุนให้มากขึ้นอีก รวมทั้งกลุ่มพันธมิตรใหม่ยังจะช่วยเสริมศักยภาพในการทำธุรกิจให้ธนาคารมากยิ่งขึ้นด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานประจำปีของธนาคารสิ้นสุด ณ 31 ธันวาคม 2540 นั้น นายปิยะบุตร กล่าวว่า ผลประกอบการของธนาคารตลอดปี (ม.ค.-ธ.ค. 2540) ที่ผ่านมา ธนาคารมีผลกำไรจากการดำเนินงานมาโดยตลอดรวมเป็น 397 ล้านบาท แต่เนื่องจากธนาคารต้องดำเนินตามมาตรการเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่สถาบันการเงินของ ธปท. ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การระงับการบันทึกรายได้ดอกเบี้ยค้างรับจาก 12 เดือน เป็น 6 เดือน ทั้งในกรณีที่มีและไม่มีหลักประกัน รวมทั้งการกันสำรองสินทรัพย์จัดชั้นที่มีความเข้มงวดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของธนาคาร โดยธนาคารได้นำกำไรจากผลการดำเนินงานเข้ากันสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญให้ครบตามเกณฑ์ 100% และหนี้จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐานอีก 15% ภายในปี 2541 รวมถึงการกันสำรอง 15% ของหนี้ที่มีการค้างชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นเกิน 6 เดือนนับแต่ 1 กรกฎาคม 2540 ที่ธปท.ให้กันสำรองทันที ณ งวดสิ้นปี 2540 ด้วย โดยรวมเป็นเงินที่ธนาคารใช้ในการกันสำรองในปี 2540 นี้ถึง 2,087 ล้านบาท
นอกจากนี้ธนาคารยังมีภาระในการนำส่งเงินสมทบกองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งได้มีการปรับหลักเกณฑ์จากเดิม 0.1% ต่อปี ของเงินฝากเป็น 0.05% ของเงินฝากในงวดมิถุนายน 2540 และ 0.15% ของเงินฝากและเงินกู้ยืมต่องวด ในงวดธันวาคม 2540 โดยในงวด 31 ธันวาคม 2540 ธนาคารได้ส่งเงินเข้าสมทบกองทุนฟื้นฟูฯ ตามเกณฑ์ใหม่ ซึ่งมีผลให้ธนาคารมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในงวด 6 เดือนหลัง อีก 74 ล้านบาท (รวมทั้งปีเท่ากับ 118 ล้านบาท) ประกอบกับคำสั่งปิดกิจการถาวรของบริษัทเงินทุน 56 แห่ง ทำให้ธนาคารมีการขาดทุนจากการลงทุนในบริษัทเงินทุนที่ถูกปิดอีกประมาณ 87 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ธนาคารมีผลประกอบการประจำปี 2540 เป็นขาดทุนจำนวน 1,895 ล้านบาท
ทั้งนี้ นายปิยะบุตร กล่าวเพิ่มเติมว่า นับเป็นครั้งแรกตลอดระยะเวลาการเปิดดำเนินการ 48 ปีที่ธนาคารสหธนาคารมีผลประกอบการขาดทุนซึ่งถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญของสถาบันการเงินที่จะต้องเร่งปรับตัวและเตรียมตัวให้พร้อมต่อกระแสเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงและแข่งขันอย่างสูงตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม การที่ธนาคารขาดทุนในครั้งนี้ ในส่วนผลของการดำเนินงานด้าน Operation ของธนาคารยังคงมีกำไรอยู่ แม้จะประสบภาวะต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายสูง แต่สาเหตุหลักในการขาดทุนเกิดจากธนาคารได้ดำเนินการตามมาตรการของ ธปท. ในการเสริมสร้างความมั่นคงในระบบสถาบันการเงินอย่างครบถ้วน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อฐานะความแข็งแกร่งทางการเงินและเงินกองทุนของธนาคารให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลต่อไป
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาฐานะเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารสหธนาคาร สิ้นสุด ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2540 ปรากฏว่า ธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั้งสิ้น 9.58% สูงกว่าเกณฑ์ในระดับ 8.5% ที่ ธปท.กำหนดไว้ แบ่งเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 จำนวน 7.50% และเงินกองทุนขั้นที่ 2 จำนวน 2.08% โดยมีเงินกองทุนตามกฎหมาย (Capital Fund) ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2540 รวมทั้งสิ้นถึง 6,285 ล้านบาท อันแสดงถึงฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งของธนาคารได้อย่างดี และเมื่อธนาคารได้ดำเนินการเพิ่มทุนรอบใหม่จำนวนอีกไม่น้อยกว่า 2,500 ล้านบาทเสร็จสิ้น ก็จะทำให้ฐานะเงินกองทุนของธนาคารเข้มแข็งยิ่งขึ้นอีกโดยไม่ต้องนำเงินกำไรเข้ากันสำรองเหมือนเช่นครั้งนี้
นายปิยะบุตร กล่าวในตอนท้ายว่า ความเข้มแข็งของธนาคารพาณิชย์ไทยจะไม่อาจวัดจากผลกำไรได้อีกต่อไปแล้ว แต่ต้องพิจารณาจากฐานะเงินกองทุนและฐานะทางการเงินเป็นหลัก นอกจากนี้มาตรการที่ ธปท. ประกาศใช้กับสถาบันการเงินไทยในครั้งนี้นั้น เป็นมาตรการใหม่ที่ไม่เคยใช้มาก่อน และเป็นไปอย่างเข้มงวด รวดเร็ว จึงถือเป็นเรื่องปกติที่สถาบันการเงินจะมีผลกำไรลดลงหรือขาดทุน--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ