กรุงเทพฯ--6 ต.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทคอนโดมิเนียมตามแนวสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล พร้อมเข้าเทรดใน SET 7 ต.ค.นี้ จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 9 บาท ด้านผู้บริหาร "พีระพงศ์ จรูญเอก" มั่นใจได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ลุยเปิดโครงการใหม่ครึ่งปีหลัง มูลค่า 5 พันล้านบาท ส่วนเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้นำไปขยายโครงการในอนาคต หวังสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ (ORI) เปิดเผยว่า บริษัทฯเตรียมเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ในวันที่7 ตุลาคมนี้ จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 9 บาท ทั้งนี้บริษัทฯเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน เนื่องจากบริษัทฯมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพการเติบโตสูงจากทิศทางการขยายธุรกิจที่ชัดเจนและต่อเนื่อง
"การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น เป็นโอกาสที่ดีในการสร้างแบรนของ "ORI" ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากขึ้นทั้งในกลุ่มของผู้ซื้อคอนโด และนักลงทุน รวมถึงเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจให้กับบริษัท และผู้ซื้อคอนโดในระยะยาว"นายพีระพงศ์ กล่าว
โดยเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯจะนำไปใช้พัฒนาโครงการในหลายพื้นที่ที่มีศักยภาพทั้งในแถบรอบนอกกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล รวมทั้งแนวเขตนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะโครงการ ดิ โอเชียน ไนท์บริดท์ ศรีราชา หลังจากมีการสำรวจพบว่า ศรีราชา มีความต้องการที่อยู่อาศัยสูงขึ้นทุกปี และจัดเป็นไฮไลน์สำคัญในด้านของทำเล และความสะดวกเรื่องการเดินทาง ซึ่งโครงการดังกล่าวเจาะกลุ่มลูกต่างชาวต่างชาติเป็นหลัก และคาดว่าจะเปิดขายโครงการอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมนี้ นอกจากนี้ยังมีแผนโครงการใหม่ๆในช่วงที่เหลือของปีนี้ประมาณ 3-4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าบริษัทจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมภายในปี 2560 ได้อย่างแน่นอน
สำหรับโครงการของ ORI ในปัจจุบันมีทั้งหมด 27 โครงการ มูลค่ารวม 17,052 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 9 โครงการ มูลค่า 3,117 ล้านบาท , โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 6 โครงการ มูลค่า 3,610 ล้านบาท, โครงการที่อยู่ระหว่าง Pre Sales 7 โครงการ 6,955 ล้านบาท และ โครงการที่เตรียมเปิดตัวในอนาคต 5 โครงการ มูลค่า 3,370 ล้านบาท และปัจจุบัน มี Back Logในมือกว่า 5,376 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังมองว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมมีการเติบโตสูงขึ้น เนื่องจากคอนโดฯ ถือเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากที่สุด
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทในงวด 6 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทฯมีอัตราการทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 229.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,240% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 1,080.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 762% เนื่องจากบริษัทฯ มีความสามารถในการทำยอดพรีเซล ได้สูงถึง 203% เป็นผลจากการเปิดโครงการคอนโดมิเนียม ตั้งแต่ต้นปี 2558 จำนวน 6 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมทั้งหมด 3,175 ล้านบาท และมียอด Back Log ในมือ ณ สิ้นไตรมาส 2/58 ประมาณ 5,376 ล้านบาท