กรุงเทพฯ--9 ต.ค.--IR PLUS
บมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท หรือ J พร้อมเข้าเทรดในตลาดใหญ่ เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 120.39 ล้านหุ้น หรือ 32.50% เคาะราคาขายหุ้น IPO ที่ 2.77 บาท/หุ้น ได้เม็ดเงินระดมทุนรวม 333ล้านบาท นำไปใช้เป็นเงินทุนขยายธุรกิจ และนำไปชำระคืนเงินกู้ "ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ" ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ในฐานะที่ปรึกษาฯ และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เผยการกำหนดราคามีส่วนลดให้ประมาณร้อยละ55 โดยกลุ่มผู้ถือหุ้น JMART รับสิทธิ์ 10.89 หุ้น ต่อ 1 หุ้น J เปิดจองซื้อ 26 – 28 ต.ค. และกลุ่มนักลงทุนทั่วไปเปิดจองซื้อระหว่าง 2 – 4 พ.ย. นี้ ผ่านบล.เอเซียพลัส และผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 3 บริษัทหลักทรัพย์ พร้อมคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 10 พ.ย.นี้
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนบริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J กล่าวว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกที่ 2.77 บาทต่อหุ้น โดยเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 120.39 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นร้อยละ 32.50 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ คิดเป็นเงินระดมทุนจำนวน 333ล้านบาท
โดยสัดส่วนการเสนอขายไอพีโอ แบ่งเป็นการเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นสามัญของบริษัท JMART ร้อยละ 40 , บุคคลทั่วไป, ผู้มีอุปการคุณ และนักลงทุนสถาบันรวมร้อยละ 60 กำหนดเปิดให้ผู้ถือหุ้นบริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART จองซื้อตามสัดส่วนการถือหุ้น (Pre-emptive Right) ในสัดส่วนการใช้สิทธิที่ 10.89 หุ้น JMART ต่อสิทธิการจองซื้อ 1 หุ้น IPO ของ J จำนวนรวมไม่เกิน 48.156 ล้านหุ้น จองซื้อระหว่างวันที่ 26 – 28 ตุลาคม2558 และเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปจำนวนไม่น้อยกว่า 72.234 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 2 – 4 พฤศจิกายน2558โดยมีผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายเข้าร่วมอีก 3 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เคทีซีมิโก้ จำกัด โดยคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2558 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "J"
"การกำหนดราคาไอพีโอของ J ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีความน่าสนใจอย่างมาก โดยราคาขายหุ้น IPO ที่ 2.77 บาท/หุ้น คิดเป็น P/E ประมาณ 12.7 เท่า โดยคำนวณจากกำไรปกติจากการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม 2557 ถึงสิ้นเดือน มิถุนายน 2558) ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่น่าสนใจ ซึ่งราคาดังกล่าวมีส่วนลดให้กับนักลงทุนถึงร้อยละ 55 จากราคาพื้นฐานที่บริษัทหลักทรัพย์ผู้ร่วมจัดจำหน่ายได้ทำไว้ อย่างไรก็ตาม เรามั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เพราะด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ในการเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารพื้นที่เช่า ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด การเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทฯ เข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อต่อยอดธุรกิจให้เติบโตแข็งแกร่ง จึงทำให้เชื่อมั่นว่า J จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน และจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้" ดร.ก้องเกียรติ กล่าว
ด้านนางนงลักษณ์ ลักษณะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J เปิดเผยว่า เม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ราว 333 ล้านบาท จะนำไปใช้เป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจจำนวน 233 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต และนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจำนวน 100 ล้านบาท ซึ่งจะสนับสนุนให้ภายหลังการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น( D/E) ของบริษัทฯ จะสามารถลดลงได้อีก จากงวดครึ่งปีแรกของปี 2558 บริษัทฯ มี D/E อยู่ที่ 1.73 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับที่ไม่สูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวมอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ธุรกิจของบริษัทแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบหลัก คือ ธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้าในส่วนสินค้าประเภทโทรศัพท์เคลื่อนที่ และสินค้าเทคโนโลยี เพื่อนำมาจัดสรร และให้เช่าต่อกับผู้ประกอบธุรกิจภายใต้ชื่อ"IT Junction" ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ และในงวดครึ่งปีแรกของปี 2558 ที่ผ่านมา มีจำนวน 43 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เล็งเห็นโอกาสในการเติบโต ของการบริหารพื้นที่เช่าในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จึงขยายธุรกิจเข้าไปในรูปแบบตลาดชุมชนภายใต้ชื่อ "J Market" ซึ่งเปิดให้บริการแล้วจำนวน 4 แห่ง และศูนย์การค้าชุมชน (Community Mall) ภายใต้ชื่อ "The Jas " เปิดให้บริการแล้วจำนวน 2 แห่ง
"J เป็นหุ้นน้องใหม่ที่มีศักยภาพสูง และคาดว่าจะได้รับการต้อนรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากเป็นธุรกิจเข้าใจง่ายและเข้าถึงคนในทุกระดับ อีกทั้ง สามธุรกิจดังกล่าวมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการบริหารพื้นที่เช่าที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ บมจ.เจ มาร์ท และ บมจ.เจเอ็มที ซึ่งเป็นบริษัทฯ ในกลุ่ม เป็นอีกส่วนสนับสนุนให้การบริการของ J ไปสู่ลูกค้าอย่างครบวงจรยิ่งขึ้น และเชื่อว่า จากความมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจในช่วงต่อจากนี้ และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะสนับสนุนให้ J มั่นคงแข็งแกร่ง" นางนงลักษณ์ กล่าว
นางนงลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการขยายจำนวนพื้นที่เช่าทั้ง 3 รูปแบบ คือ IT Junction , J Market และ The Jas ให้มากกว่า 100 สาขาภายในปี 2562 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 49 สาขา
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 248.95 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 28.53 ล้านบาท ทั้งนี้รายได้รวมของบริษัทฯ กว่าร้อยละ 95 เป็นรายได้ค่าเช่าจากการให้เช่าพื้นที่ ส่วนที่เหลือเป็นรายได้ค่าส่งเสริมการขายภายในบริเวณพื้นที่เช่าและรายได้อื่นๆ ส่วนผลประกอบการงวดปี 2557 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 449.52 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 54.80 ล้านบาท