กรุงเทพฯ--12 ต.ค.--MMM Digital Asset
นักแสดงรางวัลออสการ์ โรเบิร์ต เดอ นีโร ("Raging Bull", "Silver Linings Playbook") และแอนน์ แฮทธาเวย์ ("Les Miserables", "The Devil Wears Prada") ร่วมแสดงนำในภาพยนตร์ของ Warner Bros. Pictures เรื่อง "The Intern" โดย แนนซี เมเยอร์ส ("It's Complicated", "Something's Gotta Give", "Private Benjamin") ผู้กำกับผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์และผู้ชนะรางวัลต่างๆ กำกับภาพยนตร์ตลกเรื่องนี้จากบทภาพยนตร์ที่เธอเขียนเอง
ใน "The Intern" เดอ นีโร รับบทเป็น เบน วิทเทคเคอร์ พ่อม่ายวัย 70 ปีผู้ค้นพบว่าการเกษียณอายุไม่ได้ดีอย่างที่คนชอบพูดกัน เพื่อหาโอกาสกลับมาลงสนามอีกครั้ง เขาจึงมาเป็นพนักงานฝึกงานอาวุโสที่เว็บไซต์แฟชั่นซึ่งก่อตั้งและดำเนินงานโดย จูลส์ ออสติน (แฮทธาเวย์)
ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้นักแสดงหลากหลายรุ่น ได้แก่ เรอเน รุสโซ ("Nightcrawler", แฟรนไชส์ "Thor"), แอนเดอร์ส โฮล์ม ("Workaholics"), แอนดรูว์ แรนเนลส์ ("Girls"), อดัม เดอวีน ("Pitch Perfect"), ซีเลีย เวสตัน ("No Reservations"), แน็ต วูลฟ์ ("The Fault in Our Stars"), ลินดา แลวิน ("Wanderlust"), แซ็ค เพิร์ลแมน ("The Inbetweeners"), นักแสดงหน้าใหม่ เจสัน ออร์ลีย์ และคริสตินา เชเรอร์ ("Living with Uncle Charlie")
เมเยอร์สอำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ร่วมกับซูซานน์ ฟาร์เวลล์ โดยมีซีเลีย คอสตาส ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร
ทีมงานเบื้องหลังของเมเยอร์สนำโดยผู้กำกับภาพที่เข้าชิงรางวัลออสการ์ สตีเฟน โกลด์บลัตต์ ("The Prince of Tides," "The Help"), นักออกแบบงานสร้างผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ คริสตี ซีอา ("Revolutionary Road", "GoodFellas", "Tower Heist"), มือตัดต่อผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ โรเบิร์ต เลห์ตัน ("A Few Good Men", "When Harry Met Sally", "Chef") และนักออกแบบเครื่องแต่งกาย แจ็กเกอลีน เดเมเทริโอ ("The Other Woman", "The Big C") ดนตรีโดยธีโอดอร์ ชาพิโร ("The Secret Life of Walter Mitty", "The Devil Wears Prada")
Warner Bros. Pictures ขอเสนอผลงานการสร้างของ Waverly Films และผลงานการกำกับของแนนซี เมเยอร์ส เรื่อง "The Intern" จัดจำหน่ายโดย Warner Bros. Pictures บริษัทในเครือ Warner Bros. Entertainment
ข้อมูลการถ่ายทำ
เบน
ผมเคยอ่านเจอว่านักดนตรีไม่มีวันเกษียณ พวกเขาหยุดก็ต่อเมื่อไม่มีดนตรีอยู่ในตัวเองอีกต่อไป แต่ผมยังคงมีดนตรีอยู่ในตัวของผม ผมแน่ใจเต็มร้อยในเรื่องนั้น
หนังของแนนซี เมเยอร์สได้รับการยกย่องจากการสำรวจความสัมพันธ์โรแมนติกได้อย่างตลกขบขัน สะเทือนอารมณ์ และตรงตามความเป็นจริง ตั้งแต่การจีบ การแต่งงาน การหย่า ไปจนถึงสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น ในหนังของเธอมักมีมิตรภาพระหว่างตัวละครปรากฏอยู่ด้วยเสมอ และความสัมพันธ์นั้นก็มาเป็นศูนย์กลางหลักใน "The Intern"
เมเยอร์สกล่าวว่า "ความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ผลักดันหนังของฉัน แต่ก็ยังมีความสัมพันธ์รูปแบบอื่นๆ นอกเหนือจากความสัมพันธ์โรแมนติก ดังนั้นเมื่อฉันมีแนวคิดเรื่องชายสูงอายุที่มาเป็นพนักงานฝึกงานในบริษัทเกิดใหม่ ฉันก็เลยตระหนักว่านี่ไม่ใช่เรื่องรักตามความหมายทั่วไป แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความผูกพันและมิตรภาพ...ระหว่างคนสองคนซึ่งอาจไม่ได้โคจรมาพบกันถ้าเหตุการณ์ไม่เป็นแบบนี้"
"The Intern" ยังได้นำองค์ประกอบอีกส่วนหนึ่งในชีวิตที่ช่วยสร้างตัวตนของเราขึ้นมานั่นคือ งาน เมเยอร์สย้ำเรื่องนี้ในประโยคเปิดของหนังซึ่งอ้างข้อสันนิษฐานของฟรอยด์ที่ว่า "ความรักและการงาน การงานและความรัก ทั้งหมดก็มีอยู่เท่านี้เอง" ผู้กำกับยืนยันว่า "ฉันคิดว่าการมีเป้าหมายและมีคนเห็นคุณค่าเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานพอกันกับการได้รักและได้รับความรัก"
แต่เมื่อคุณเกษียณแล้วและคนรักก็จากไป คุณจะไปไหนและทำอะไรต่อล่ะ
ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้เองที่ เบน วิทเทคเคอร์ ตัวละครหลักหนึ่งในสองตัวของหนังเรื่องนี้กำลังเผชิญอยู่
โรเบิร์ต เดอ นีโร รับบทเป็นคนที่ได้รับโอกาสให้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งที่บริษัทเกิดใหม่ในบรู๊กลิน นักแสดงระดับตำนานรายนี้กล่าวว่าเขายินดีที่ได้รับโอกาสให้ร่วมงานกับเมเยอร์สเป็นครั้งแรก "นี่คือหนังแบบที่แนนซีทำและทำได้ดีมากด้วย ในแง่หนึ่งมันก็เป็นหนังตลกฮอลลีวู้ดแบบคลาสสิก แต่ไม่ใช่หนังย้อนอดีต เป็นหนังที่ร่วมสมัยมาก ในเรื่องนี้เธอนำเสนอแนวคิดซึ่งผมคิดว่าหลายคนน่าจะเข้าถึงได้ คือการที่คนเราไม่แน่ใจว่าตนเองมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนอกจากว่าอายุมากขึ้น แต่คนเหล่านี้ก็ยังให้อะไรๆ ได้อีกมากและผลิตผลงานออกมาได้"
แอนน์ แฮทธาเวย์รับบทคู่กับเดอ นีโรเป็นจูลส์ ออสติน ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ About the Fit (ATF) แฮทธาเวย์กล่าวว่า "แนนซีเป็นผู้กำกับที่เก่งและมีความตั้งใจจริง ในเชิงส่วนตัวแล้วเธอน่าจะเป็นผู้หญิงที่ตลกที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา เธอวางจังหวะได้เป๊ะมาก หนังของเธอไม่ใช่แค่ตลกแต่ยังอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างลึกซึ้งในการพูดถึงความปวดร้าวอันละเอียดอ่อนของการใช้ชีวิตในแต่ละวัน"
ผู้อำนวยการสร้าง ซูซานน์ ฟาร์เวลล์ ซึ่งทำงานร่วมกับเมเยอร์สมาตั้งแต่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในผลงานการกำกับเรื่องแรกของเมเยอร์สเมื่อปี 1998 เรื่อง "The Parent Trap" เสริมว่า "หนังของแนนซีมีความเป็นอมตะ หนังเหล่านี้มักตั้งอยู่บนประเด็นที่จริงจังซึ่งได้รับการสำรวจผ่านอารมณ์ขันเต็มเปี่ยม เอกลักษณ์เฉพาะของเธอก็อยู่ตรงนี้ล่ะค่ะ ตรงความสามารถที่จะสร้างสมดุลขึ้นมาและผู้ชมก็ตอบสนองกับสมดุลนั้น ในหนังเรื่องนี้เธอหยิบยกหัวข้อที่เป็นกระแสในปัจจุบัน อย่างเช่น บทบาทของผู้หญิงในธุรกิจ การเกษียณอายุ และการยังคงมีส่วนร่วมในสังคม แต่ด้วยมุมมองซึ่งแตกต่างไปจากที่พบเห็นทั่วไปอยู่บ้าง"
ใน "The Intern" เมเยอร์สพัฒนาแนวทางความสัมพันธ์ที่น่าสนใจและโดดเด่นระหว่าง เบน เบบี้บูมเมอร์รุ่นแรกๆ กับคนรุ่นมิลเลนเนียลซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดที่เข้ามาสู่โลกของการทำงาน เธอสนุกกับการให้อดีตผู้บริหารบริษัทสมุดโทรศัพท์ต้องมาตกใจกับวัฒนธรรมใหม่ในโลกซึ่งแทบไร้กระดาษที่บริษัทแห่งใหม่นี้ ทุกคนแต่งตัวตามสบายทุกวันไม่ใช่เฉพาะวันศุกร์ การสวมเสื้อฮู้ดปะทะการพกผ้าเช็ดหน้า ใช้ Facebook ไม่ใช่สมุดโทรศัพท์ ทวีตแทนที่จะพูด อีโมติคอนมาแทนที่การแสดงความรู้สึกจริงๆ และความจุเป็นกิกะไบท์ก็มาเหนือความเป็นสุภาพบุรุษ
"ฉันคิดว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้โลกเปลี่ยนไปเร็วมาก ทุกอย่างเดินหน้าไปเร็วกว่าเดิม" ฟาร์เวลล์กล่าว "คุณจะได้พบมือโปรที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากและมีหลายสิ่งหลายอย่างมามอบให้ เป็นคลังความรู้และภูมิปัญญาจากประสบการณ์ทั้งชีวิต แล้วคุณก็จะได้เห็นคนทำงานรุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งมีทัศนคติและมุมมองต่ออาชีพแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง"
เมเยอร์สกำหนดให้เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมอันน่าหลงใหลของวัฒนธรรมองค์กรเกิดใหม่ "องค์กรเกิดใหม่น่าจะเป็นสภาพแวดล้อมที่น่าสนใจและสนุกที่สุดในการถ่ายทอดการปะทะกันทางวัฒนธรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้" เธอกล่าว
"เป็นสนามเด็กเล่นแสนสนุกที่มีคนสองรุ่นมาปะทะกันค่ะ" แฮทธาเวย์กล่าว "ท่ามกลางความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสังคมที่เราสร้างขึ้นมา หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยรั้งเราไว้กำลังค่อยๆ ตายจากไป โชคร้ายที่สิ่งหนึ่งซึ่งดูเหมือนหายไปด้วยก็คือความมีมารยาทต่อกัน"
เดอ นีโรเห็นด้วย "แน่นอนว่ามีบางสิ่งที่ควรพูดถึงเกี่ยวกับประสบการณ์และธรรมเนียมประเพณี นั่นคือสิ่งที่แนนซีนำเสนอในหนังเรื่องนี้ เป็นเรื่องเล่าของความมีอายุเหนือความหนุ่มสาว จะว่าอย่างนั้นก็ได้"
ช่องว่างระหว่างวัยยังได้เปิดทางให้กับสิ่งที่กลับกันอย่างน่าประหลาดซึ่งสะท้อนอยู่ในหนัง เมเยอร์สอธิบายว่า "ขณะที่ผู้หญิงเติบโตจากเด็กสาวเป็นผู้หญิงเต็มตัว ผู้ชายกลับเปลี่ยนจากผู้ใหญ่กลายเป็นเด็ก ขณะที่คนคอยบอกเด็กสาวว่าพวกเธอสามารถประสบความสำเร็จในเรื่องใดก็ได้ ฉันคิดว่าผู้ชายกลับไม่ค่อยเป็นที่สังเกตเห็นและยังคงพยายามหาทางกันอยู่"
ทีมนักแสดง
เบน
สวัสดีครับ จูลส์...ผมเบน เด็กฝึกงานคนใหม่
จูลส์
ฉันดีใจนะที่คุณยังมีอารมณ์ขันกับเรื่องนี้อยู่
เบน
ก็ยากที่จะไม่ขำนะ
เราพบเบน วิทเทคเคอร์เป็นครั้งแรกที่ชั้นเรียนมวยไทเก็กด้วยเหตุผลตามที่เมเยอร์สบอกว่า "ฉันเห็นความตลกในตัวเลือกนี้ค่ะ แต่ก็เป็นเพราะฉันเชื่อว่าเบนจะต้องรู้ว่ามวยไทเก็กมีประโยชน์มากแค่ไหนด้วย" แม้ภายนอกเขาจะดูสงบนิ่ง แต่หลังจากนั้นไม่นานเราก็ได้รู้ว่ามวยไทเก็กเป็นวิธีหนึ่งที่เบนจะเคลื่อนไหวตามท่าทางต่างๆ เพื่อป้องกันความหงุดหงิดใจที่เกิดขึ้นกับเขาในฐานะพ่อม่ายวัยเกษียณ เพื่อฆ่าเวลา เบนเล่นกอล์ฟ เล่นไพ่ ไปดูหนัง และอ่านหนังสือ เขาไปเรียนทำอาหาร เรียนภาษาจีน ฝึกโยคะ และใช้แต้มจากโปรแกรมสะสมไมล์ไปเที่ยวรอบโลก แต่บางสิ่งก็ยังคงขาดหายไป
เมเยอร์สยืนยันว่า "เบนคิดถึงงาน คิดถึงการมีสถานที่ให้ต้องไป เขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของอะไรสักอย่างอีกครั้ง เขาไป Starbucks ทุกเช้าก่อน 7 โมง 15 เพียงเพื่อจะได้มีส่วนร่วมในความเร่งรีบวุ่นวาย"
เดอ นีโร ระบุว่า "เบนไม่ได้มีอาชีพการงานที่ใหญ่โตมากมายอะไร แต่เขาทำได้ดีและมองว่าตัวเองโชคดี มาตอนนี้เขาพบว่าการเกษียณแตกต่างไปจากที่เขาคาดหวังไว้ ผมเดาว่ามันขึ้นอยู่กับว่าคุณเกษียณจากงานแบบไหน แต่เบนเป็นคนที่ชอบงานของตัวเองจริงๆ"
เมเยอร์สคิดว่าการได้เดอ นีโรมารับบทเบนเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งในการเลือกนักแสดง โดยกล่าวว่า "บ็อบเป็นนักแสดงที่เก่งมากด้วยผลงานที่ลึกและหลากหลาย ในงานหนังตลกเรื่องอื่นๆ เขามักเล่นเป็นเจ้าพ่อนักเลงในด้านที่ขำขัน แต่ 'The Intern' เราจะได้เห็นอีกด้านหนึ่งของบ็อบ นอกจากนี้ในหนังของเรา เขาไม่เพียงเล่นคู่กับแอนน์ แฮทธาเวย์ในฐานะเด็กฝึกงานซึ่งกลายเป็นผู้ให้คำปรึกษามากกว่าผู้รับคำปรึกษา แต่เขายังร่วมแสดงกับกลุ่มนักแสดงหนุ่มสาวซึ่งหลายคนมาจาก Comedy Central ภูมิหลังของพวกเขาแตกต่างกันมากซึ่งนำไปสู่ช่วงเวลาที่เต็มอิ่มทั้งในจอและนอกจอ"
เบนได้พบจูลส์ ออสตินเป็นครั้งแรกเมื่อเขาได้ตำแหน่งพนักงานฝึกงาน "อาวุโส" ที่ About the Fit เว็บไซต์ช็อปปิงของจูลส์ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ตอนที่จูลส์ตกลงให้พนักงานฝึกงานอาวุโสเข้าทำงานในบริษัท เธอนึกว่าหมายถึงนักศึกษาชั้นปีสุดท้าย (ซีเนียร์) ในมหาวิทยาลัย
"จูลส์ไม่ค่อยถนัดเรื่องการเข้ากับคนสูงอายุนัก" เมเยอร์ยอมรับ "เธอมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างลุ่มๆ ดอนๆ กับแม่ เธอก็เลยรู้สึกว่าเธอไม่น่าจะเหมาะกับการมาดูแลพนักงานฝึกงานอาวุโส"
แฮทธาเวย์เสริมว่า "เธอต่อต้านในตอนแรกเพราะรู้ดีว่าธุรกิจและชีวิตของตัวเองรีบเร่งแค่ไหน และเธอก็คิดว่าคนอายุมากกว่าอาจทำให้เธอต้องชะลอทุกอย่างลง แต่โครงการพนักงานฝึกงานอาวุโสอาจเป็นสิ่งที่เธอต้องการอยู่ก็ได้
"จูลส์เป็นคนกลุ่มเอ เป็นพวกที่กล้าเสี่ยงและชอบความท้าทาย" นักแสดงรายนี้กล่าวต่อ "เธอฉลาดมากและอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันชอบในตัวเธอคือเธอมีความทุ่มเทมากๆ เหตุผลที่บริษัทของเธอทำผลงานได้ดีไม่ใช่เพียงเพราะเธอฉลาดปราดเปรื่อง แต่เพราะทุกสิ่งที่เธอทำมาจากความหลงใหลและการมีวิสัยทัศน์อย่างแท้จริง...ซึ่งนั่นก็เป็นการสะท้อนถึงตัวแนนซีเองด้วย" เธอยิ้ม
เมเยอร์สกล่าวว่าวินัยในการทำงานของแฮทธาเวย์เองก็ไม่ต่างจากตัวละครตัวนี้มากนัก "แอนนีมีคุณสมบัติที่ดีหลายอย่างอยู่ในตัวเอง เธอมีแรงผลักดันและมีพลังสูงมากบนจอและเป็นนักแสดงหญิงไม่กี่คนที่ทำได้ทุกอย่าง เธอตลกเมื่อเราต้องการให้เธอตลก แล้วก็เปราะบางและจริงใจในฉากดรามาสะเทือนอารมณ์ เธอไม่ใช่คนกลางๆ ธรรมดาๆ เธอมีความเพี้ยนอยู่ในตัวเองซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันชอบค่ะ"
การต่อต้านของจูลส์ในตอนแรกนำไปสู่ความเคารพและชื่นชมในไม่ช้า แฮทธาเวย์ยืนยันว่า "ในบริษัทที่เต็มไปด้วยคนหนุ่มสาวด้านไอทีซึ่งอาจไม่ได้มีทักษะในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากนัก เบนเป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้เราเงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์และหันมาสื่อสารกันจริงๆ จูลส์เป็นผลผลิตของคนรุ่นที่ตัดสินใจแบบรวดเร็วฉับไว แค่คลิก ทวีต โพสต์ แล้วก็โยนทิ้ง ดังนั้นฉันคิดว่าเธอแบกรับความกดดันมากมายเอาไว้ เบนปรากฏตัวขึ้นและคอยรับฟังเธอ เขาไม่ได้ตัดสิน แต่เขายอมรับในตัวเธอและช่วยให้เธอสงบนิ่งลงได้ เธอรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนที่เข้าถึงได้ง่ายๆ แต่เขาคิดว่านั่นเป็นเรื่องดีสำหรับเธอ ทุกๆ สิ่งที่เธอกลัวว่าคนอื่นๆ จะมองว่าน่ารำคาญ เขากลับมองว่าเป็นเครื่องชี้วัดสำหรับคนที่มีคุณค่า เขาอาจอยากให้ตัวเองเป็นที่ต้องการแต่ปรากฏว่าเธอก็ต้องการเขาด้วยเช่นกัน"
เดอ นีโร กล่าวว่า "จูลส์ทะเยอทะยานและฉลาดมากๆ และโชคดีที่ธุรกิจที่เธอสร้างไปตอบสนองตลาดกลุ่มเฉพาะได้พอดี ผมคิดว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง คุณต้องลงมือทำด้วยความรักและความใส่ใจให้มากๆ คุณต้องทุ่มเททุกสิ่งที่คุณมีลงไปในนั้น จูลส์ทำอย่างนั้น เธอเป็นคนชอบลงมือทำ เธอขยายขอบเขตของตัวเองออกไปและใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างออกมาเรียบร้อย"
"มิตรภาพที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างเบนกับจูลส์เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันเขียนต่อไปเรื่อยๆ" เมเยอร์สกล่าว "ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวนี้"
ผู้กำกับรายนี้ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่าความเข้ากันได้ระหว่างเดอ นีโรและแฮทธาเวย์ก็ได้สร้างแรงขับเคลื่อนที่มีพลังระหว่างตัวละครทั้งสอง "นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเมื่อคุณโชคดีค่ะ" เมเยอร์สกล่าว "มันบังคับกันไม่ได้หรอก เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเอง มีบางสิ่งที่พิเศษระหว่างเบนและจูลส์ เช่นเดียวกับบ็อบและแอนนี และฉันเชื่อว่าสิ่งนี้ปรากฏบนจออย่างชัดเจน"
นักแสดงทั้งสองยืนยันว่าต่างชื่นชมซึ่งกันและกัน "หนังตลกประเภทนี้ต้องการความแม่นยำเพราะมีบทสนทนาเยอะและต้องอาศัยจังหวะเวลาที่ถูกต้อง" เดอ นีโรกล่าว "ด้วยเหตุนี้คุณจึงต้องการนักแสดงที่เก่งมาเล่นคู่ด้วยและผมคงหานักแสดงที่เก่งกว่าแอนน์ไม่ได้แล้ว "เธอเป็นมืออาชีพมากและเป็นเพื่อนร่วมทีมที่ดีมาก เธอเก่งมากครับ"
"ฉันโชคดีจริงๆ ที่ได้บ็อบมาเล่นคู่ด้วยค่ะ" แฮทธาเวย์กล่าว "เขาเป็นคนที่เยี่ยมมากและแทบไม่ต้องบอกเลยว่าเขาเยี่ยมไม่แพ้เบนเลย มีฉากหนึ่งที่เขาเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วมากจนทำให้คุณขนลุกเลย เพราะพลังในตอนนั้นเข้มแข็งและหนักแน่นมากแล้วคุณก็อยู่ข้างๆ ตรงนั้น แต่เขาก็ถ่อมตัวและเป็นคนง่ายๆ สบายๆ จนมีบางช่วงที่คุณลืมไปเลยว่าเขาเป็นนักแสดงที่เก่งที่สุดคนหนึ่งที่เคยมีมา"
โครงการฝึกงานรุ่นอาวุโสที่นำเบนมายัง ATF เป็นผลงานของคาเมรอน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของจูลส์ ซึ่งรับบทโดยแอนดรูว์ แรนเนลส์ แรนเนลส์ระบุว่าคาเมรอนไม่ได้คิดมาก่อนว่าโครงกานี้จะประสบความสำเร็จมากแค่ไหนหรือว่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขารวมถึงเจ้านายมากแค่ไหน "อิทธิพลที่เบนมีต่อจูลส์ส่งผลต่อเนื่องมายังคาเมรอนด้วย เขาพบว่าเธอรู้จักการจัดการบริหารและมั่นใจมากขึ้น ทำให้งานของเขาในการช่วยให้เธอและบริษัทเดินหน้าต่อไปกลายเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น"
ขณะที่จูลส์ลังเลในตอนแรกที่จะให้เบนเข้ามาช่วย พนักงานที่เหลือรวมถึงเพื่อนเด็กฝึกงานคนอื่นๆ กลับกระตือรือร้นที่จะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของเพื่อนร่วมงานคนใหม่ อดัม เดอวีน ซึ่งรับบทเป็นเจสัน พนักงานของ ATF ผู้ดูแลเด็กฝึกงานระบุว่า "สิ่งที่เจ๋งคือเบนมาจากแวดวงธุรกิจยุคเก่าที่เป็นโลกของผู้ชาย แต่เขากลับก้าวเข้ามาสู่โลกของคนหนุ่มสาว และไม่ใช่แค่ชอบแต่ยังประสบความสำเร็จในโลกยุคใหม่นี้ด้วย"
ลูอิส เด็กฝึกงานที่เก่งเรื่องเทคโนโลยี รับบทโดยนักแสดงหน้าใหม่เจสัน ออร์ลีย์ และแม้ว่าเขาเพิ่งแสดงในเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก แต่เขาก็คุ้นเคยกันดีกับเมเยอร์ส นับเป็นความลงตัวที่เขาทำหน้าที่เป็นเด็กฝึกงานของเมเยอร์สในกองถ่ายเรื่อง "It's Complicated" พอดี "หลังจากนั่งติดกับแนนซีหน้าจอมอนิเตอร์ ในช่วงฤดูร้อนเดียวผมได้เรียนรู้มากกว่าในเวลาสี่ปีที่โรงเรียนทำหนัง ขอโทษด้วยนะ NYU" ออร์ลีย์ยิ้ม "ตอนที่เธออีเมลมาถามผมว่า 'เธอแสดงได้ไหม' ผมนึกว่าเธออำผมเล่นเสียอีก"
"เขาทำให้ฉันหัวเราะได้เสมอ" เมเยอร์สเล่า "แต่เขาต้องผ่านการทดสอบบทมากกว่าคนอื่นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มีแค่ฉันที่คิดว่าเขาตลก เขามาจากลอสแองเจลีสเพื่อมาซ้อมอ่านบท ที่นั่นเขาต้องอยู่กับนักแสดงที่มีประสบการณ์ทุกคนในหนังเรื่องนี้ แต่ก็ไม่กดดันนี่ ใช่ไหม เขาทำได้ดีมากเลยล่ะค่ะ"
แซ็ค เพิร์ลแมน รับบทเป็นเด็กฝึกงานอีกคนหนึ่งชื่อเดวิสซึ่งนักแสดงรายนี้กล่าวว่าเป็น "เด็กอายุ 14 ในร่างคนอายุ 26 เขายังนึกไม่ออกว่าจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างไรก็เลยกลายเป็นหนึ่งในบรรดาผู้รับคำปรึกษาจากเบน เขาได้รับคำแนะนำในการใช้ชีวิต...ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาก็ต้องการมากเลยล่ะ"
เมเยอร์สเล่าว่า "หนุ่มๆ ในทีมนักแสดงเยี่ยมทุกคน การได้สำรวจนักแสดงตลกหน้าใหม่ที่มีความสามารถเป็นขั้นตอนที่สนุกค่ะ"
ผู้กำกับรายนี้ได้พบว่าการที่ปฏิสัมพันธ์นอกจอส่งผลถึงความสัมพันธ์ในจอเป็นเรื่องน่าเพลิดเพลินอีกด้วย "ตอนแรกหนุ่มๆ ทุกคนในสำนักงานไม่อยากเชื่อว่าชายวัย 70 ที่ไม่รู้วิธีเปิดคอมจะไปทำงานที่นั่นได้" เธอกล่าว "แต่คนเหล่านี้กลับค่อยๆ เข้าไปขอคำแนะนำจากเขา ชายผู้ชาญฉลาดคนนี้นั่งอยู่ท่ามกลางคนหนุ่ม ทำให้พวกเขาประหลาดใจและรู้สึกชื่นชม แล้วก็อยากเป็นเหมือนเขาด้วย เช่นเดียวกับที่เหล่านักแสดงชื่นชมในตัวบ็อบ แซ็ค อดัม และเจสันชอบอยู่ใกล้ๆ บ็อบและฉันก็ชอบที่เป็นอย่างนี้เพราะนั่นคือสิ่งเดียวกันกับที่พวกเด็กฝึกงานรู้สึกต่อเบน และบ็อบก็เข้ากับพวกเขาได้ดีมาก"
"หนุ่มๆ กลุ่มนี้เยี่ยมมากและตลกมากด้วย" เดอ นีโรกล่าว "ผมสนุกกับพวกเขาจริงๆ"
แฮทธาเวย์เห็นด้วย "ฉันชอบพลังของพวกเขาค่ะ พวกเขาเชื่อมั่นในความตลกของตัวเอง การได้ทำงานกับคนหน้าใหม่ๆ มากมายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น และช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์ที่เยี่ยมมากในฉากต่างๆ ด้วย"
นักแสดงหน้าใหม่อีกคนหนึ่งคือผู้ช่วยของจูลส์ เบกกี ซึ่งรับบทโดยคริสตินา เชเรอร์ เธอเรียกตัวละครที่ตัวเองเล่นว่าเป็น "จอมเจ้าปัญหา เธอเอาแต่พูดไม่หยุดเพราะกลัวว่าจะทำให้จูลส์ผิดหวัง"
แม้ว่าบรรดาเพื่อนร่วมงานใหม่ของเบนเด็กพอที่จะเป็นลูกเขาได้ แต่ก็มีคนอายุใกล้เคียงกันที่สะดุดตาเขา เมเยอร์สเขียนบทฟิโอนาหมอนวดหญิงประจำบริษัทโดยมีเรอเน รุสโซอยู่ในใจ "เธอน่าจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่เบนแสดงความสนใจจริงๆ นับตั้งแต่ภรรยาจากไป" เมเยอร์สกล่าว "และไม่ใช่เพราะเธอสวย ซึ่งเธอก็เป็นคนสวยนะคะ แต่เพราะเธอเป็นคนที่อบอุ่นและใส่ใจมากกว่า
"ตอนที่ฉันพูดให้บ็อบฟังว่าเลือกเรอเนมาเล่นด้วย เขาบอกว่าเคยทำงานกับเธอมาสองเรื่องแล้ว" เมเยอร์สกล่าว "ฉันไม่คิดมาก่อนเลย แต่ทุกอย่างออกมาลงตัวเพราะทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอยู่แล้ว เรอเนมีบุคลิกเป็นคนน่ารักและสร้างบรรยากาศดีๆ ให้ทุกคนรอบตัว เธอเป็นคนที่น่าทำงานด้วยมากๆ ค่ะ"
แม้ว่ารุสโซเคยทำงานกับเดอ นีโรมาก่อนแต่ "The Intern" นับเป็นครั้งแรกของพวกเขาในเรื่องหนึ่ง "คราวนี้ฉันต้องนวดโรเบิร์ต เดอ นีโรด้วย ฉันหมายถึงว่ามันจะแย่สักแค่ไหนกันเชียว" รุสโซพูดแหย่ "บ็อบเป็นคนที่ทำงานด้วยสนุกมากและฉันชอบหนังทุกเรื่องของแนนซี ฉันก็เลยตกลงรับงานนี้ค่ะ"
เมื่อเบนทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้จูลส์ เขาก็ได้มารับรู้เรื่องชีวิตครอบครัวของเธอด้วย เมเยอร์เล่าว่า "ด้วยการเป็นผู้หญิงทำงานมาตลอดชีวิตและเป็นคุณแม่ลูกสอง ฉันจำได้แม่นเลยว่าการพยายามทำงานให้ออกมาดีแล้วยังต้องกลับถึงบ้านให้ทันเวลาอาหารเย็นเป็นอย่างไร เป็นเรื่องน่าสนใจที่จะได้สำรวจสมดุลระหว่างการงานกับชีวิตส่วนตัวในครอบครัวคนรุ่นใหม่ยุคปี 2015"
แอนเดอร์ส โฮล์ม รับบทเป็นแม็ตต์ สามีของจูลส์ซึ่งกลายเป็นคุณพ่อที่อยู่บ้านดูแลลูกสาวของทั้งสอง เพจ ซึ่งรับบทโดยโจโจ คุชเนอร์ โฮล์มกล่าวว่า "จูลส์ทำได้ดีแต่เธอก็ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวเมื่อความคาดหวังเพิ่มสูงขึ้น"
เมื่อแรงกดดันทวีขึ้นทั้งที่ทำงานและที่บ้าน จูลส์ก็ต้องเผชิญการตัดสินใจครั้งสำคัญเกี่ยวกับหน้าที่การงานและครอบครัวของเธอ
สถานที่ถ่ายทำ
เบน
ผมชอบที่คุณอยู่ใจกลางบรู๊กลิน ผมอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิตแต่หลังๆ มานี้ผมรู้สึกว่าผมอาจไม่ฮิพพอจะอยู่ในบรู๊กลินแล้ว งานนี้อาจช่วยผมก็ได้
การถ่ายทำ "The Intern" เกิดขึ้นในสถานที่จริงในแมนฮัตตัน บรู๊กลิน และบรองซ์ โดยมีการถ่ายทำบางส่วนในโรงถ่ายที่ยังเคอร์ส
เมเยอร์สมีวิธีการสื่อสารที่เป็นเอกลักษณ์กับทีมงานทั้งหมดรวมถึงนักแสดงในทุกๆ แง่มุมของการถ่ายทำ นั่นก็คือ Pinterest "ฉันชอบ Pinterest มากค่ะ" ผู้กำกับรายนี้กล่าว "ก่อนมี Pinterest ฉันต้องพูดให้ทุกคนฟังจนน้ำไหลไฟดับ ที่จริงทุกวันนี้ฉันก็ยังพูดน้ำไหลไฟดับอยู่" เมเยอร์ส มองว่าการสร้างบอร์ดใน Pinterest ให้ตัวละครแต่ละตัว รวมถึงฉากหลักๆ ทั้งหมดเป็นวิธีที่ดีมากเพื่อแสดงให้ชัดเจนว่าเธอคิดอะไรอยู่
"มันเป็นวิธีที่ดีสำหรับทุกคนในการเข้าถึงลักษณะของตัวละครและโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่" เมเยอร์สกล่าว
นักออกแบบงานสร้าง คริสตี ซีอา กล่าวว่า "ด้วยพลังเต็มร้อยของแนนซี เธอสามารถค้นเว็บไซต์และรูปภาพนับพันๆ รูปและโพสต์สิ่งที่เธอต้องการได้อย่างถูกต้อง จนกระทั่งเราสามารถดูรูปเหล่านั้นและพูดว่า 'ฉันเข้าใจแล้ว' คำชมที่ดีที่สุดคือการที่เธอเดินเข้ามาในฉากและพูดว่า 'พระเจ้าช่วย นี่มันเหมือน Pinterest ของฉันเลย!' แนนซีมีสายตาที่แหลมคมและแม่นยำมาก เธอรู้ว่าตัวเองอยากได้และไม่อยากได้อะไร เธอมีความรู้มหาศาลเกี่ยวกับการตกแต่ง สีสัน และสไตล์ เธอฉลาดเฉียบแหลมในเรื่องเหล่านี้"
ซีอาเสริมว่า "โดยรวมแล้วสไตล์ในเรื่องนี้เป็นแบบมินิมัลลิสต์ เรียบง่าย ไม่ประดับประดา โทนสีที่ใช้ก็เป็นโทนขรึม โดยเน้นสิ่งทอธรรมชาติ พื้นผิว และลายทาง"
ฉากสำคัญในหนังคือสำนักงานใหญ่ของ About The Fit ซึ่งตั้งอยู่ในย่านเรดฮุคของบรู๊คลิน หลังจากสำรวจในบรู๊คลิน ทีมงานก็ได้พบสถานที่ที่เหมาะสมในย่านบรองซ์ที่ The Light Box สตูดิโอภาพถ่ายบนชั้นสองของอาคาร Bank Note Building อาคารคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ซึ่งเคยเป็นที่ผลิตธนบัตรกว่าครึ่งหนึ่งของโลก เมเยอร์สชอบหน้าต่างกว้างที่ดูมีเอกลักษณ์ อิฐเก่า และแสงธรรมชาติ ซึ่งผู้กำกับภาพสตีเฟน โกลด์บลัตต์ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
ภาพที่เมเยอร์สคิดไว้สำหรับบริษัทอีคอมเมิร์ซที่กำลังเติบโตนี้มาจากการศึกษาข้อมูลบริษัทเกิดใหม่ที่มีอยู่จริง ซีอาและเมเยอร์สตระเวณไปตามบริษัทเกิดใหม่หลายแห่ง ทุกแห่งล้วนมีพื้นที่กว้างขวางและบรรยากาศแบบร่วมสมัย
สำนักงานของ ATF จัดผังแบบเปิด ไม่มีใครมีห้องทำงานส่วนตัวแม้กระทั่งจูลส์ ทีมออกแบบงานสร้างได้สร้างห้องประชุมกระจกขึ้นมา ขัดเงาพื้น และสร้างส่วนที่เป็นสวัสดิการให้พนักงานคือห้องนวดและพื้นที่ครัวเปิด มีการนำโต๊ะสีขาวและเก้าอี้สีเทามาวางเรียงเป็นแถวๆ และเพิ่มเก้าอี้ยาวจาก CB2 เข้ามาในพื้นที่ส่วนกลาง "เราตั้งใจไม่ใช้อะไรก็ตามที่เรามองว่าไม่เหมาะกับงบประมาณของจูลส์สำหรับธุรกิจใหม่" เมเยอร์สกล่าว
"การตกแต่งเน้นการผสมผสานเข้าด้วยกันค่ะ เป็นเฟอร์นิเจอร์แบบโมเดิร์นยุคกลางศตวรรษตามแบบแผนผสมกับของเก่าที่นำมาดัดแปลงและของที่ซื้อหามา มันสะท้อนถึงความเป็นบรู๊กลิน อีคอมเมิร์ซ ธุรกิจเกิดใหม่ แฟชั่น... มันเนี้ยบและทันสมัย" ซีอากล่าว
ซีอาสร้างวิสัยทัศน์ของเมเยอร์สให้เป็นจริงร่วมกับหัวหน้าผู้กำกับฝ่ายศิลป์ ดับบลิว สตีเวน เกรแฮมและทีมงาน พวกเขายังต้องออกแบบเว็บไซต์ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของบริษัทและปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ในหนัง มีการถ่ายภาพช่วงก่อนการถ่ายทำและภาพเหล่านั้นก็ใช้ในสำนักงานของ ATF และในเว็บไซต์
แม้ได้เห็นความก้าวหน้าของการสร้างฉากมาโดยตลอด แต่เมเยอร์สยอมรับว่า "ครั้งแรกที่ฉันเดินเข้าไปเมื่อโต๊ะทำงานมาถึงและเห็นโลโก้อยู่บนนั้น มันน่าตื่นเต้นมากค่ะ ฉันคิดว่ามันดูสมจริง เหมือนกับว่าจูลส์เป็นคนทำขึ้นมา ฉันพอใจมากกับงานที่ทุกคนทำเพื่อสร้าง ATF ขึ้นมา"
แม้ตัวหนังจะเน้นจุดสนใจไปยังธุรกิจของจูลส์ แต่เราก็ได้เห็นสภาพแวดล้อมภายในบ้านของตัวละครหลักๆ ด้วย "มีเรื่องราวดีๆ ที่ได้รับการบอกเล่าในบ้านของตัวละคร มันสำคัญต่อภาพโดยรวมของหนัง ฉันชอบให้บ้านของตัวละครดูจับต้องได้" เธอกล่าว
สำหรับบ้านของจูลส์และแม็ตต์ที่พาร์ค สโลป ทีมงานเลือกบ้านหินสีน้ำตาลในย่านคลินตัน ฮิลล์ ของบรู๊กลินซึ่งได้รับการปรับปรุงใหม่ สำหรับโทนสีโดยรวมของบ้านนั้น เมเยอร์สเน้นสีถ่านเฉดเข้ม
แฮทธาเวย์กล่าวว่า "หนังของแนนซีทุกเรื่องมีครัวแบบที่ทุกคนอยากได้เป็นของตัวเอง เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นค่ะ ฉันตื่นเต้นมากที่ได้อยู่ในครัวของแนนซี เมเยอร์สแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม ฉันบอกได้เลยค่ะว่าคุณสามารถทำอาหารในนั้นได้จริงๆ"
ฉากบ้านของเบนมีความท้าทายมากกว่า "เพราะตัวละครของเขาเป็นการผสมผสานระหว่างเก่าและใหม่" ซีอากล่าว "ทีมงานพบบ้านหินสีน้ำตาลในย่านคอบเบิล ฮิลล์ของบรู๊คลินให้ตัวละครนี้ บ้านหลังนี้เล็กกว่าของจูลส์และมีเพดานต่ำกว่า"
รายละเอียดสำคัญอีกส่วนหนึ่งในการตกแต่งฉากคืองานศิลปะภายในบ้านของตัวละครแต่ละตัว ในบ้านของจูลส์มีคอลเล็กชันงานภาพพิมพ์และภาพถ่ายขาวดำที่ดูน่าสนใจมากแขวนอยู่ รวมถึงภาพวาดอันมีสีสันของเพจด้วย ส่วนในบ้านของเบนนั้น ทีมงานนำเอางานศิลปะของโรเบิร์ต เดอ นีโร ซีเนียร์มาแขวนไว้ด้วย เดอ นีโรได้ชื่อตามพ่อของเขา ซึ่งเป็นจิตรกรแนวฟิเกอเรทีฟ เขาได้เก็บรักษาสตูดิโอของพ่อในนิวยอร์ก รวมถึงทำหนังสารคดีเกี่ยวกับพ่อของเขาด้วย "เราไปที่บ้านบ็อบและเขาก็บอกว่า 'เอาอะไรไปก็ได้ตามใจเลย'" ซีอาเผย
"แนนซีมีแนวคิดที่จะให้นำผลงานบางส่วนของพ่อมาไว้ในบ้านหลังนี้ เรื่องนี้มีความหมายสำหรับผมมากครับ ผมคิดว่าเป็นการตกแต่งที่ช่วยเพิ่มความเป็นบ้านในความรู้สึกผม" เดอ นีโรกล่าว
เมเยอร์สยังต้องการให้บ้านของเบนสะท้อนอดีตของเขากับภรรยาด้วย "เขาแต่งงานมา 40 ปี เขาไม่ได้อยู่ในห้องชุดสำหรับคนโสด เขาอยู่ในบ้านที่อยู่ด้วยกันมา ฉันต้องการให้รู้สึกได้ว่ามีเธออยู่ในครัว อยู่ในทุกๆ ห้อง" เธอกล่าว ที่จริงแล้วเมื่อเด็กฝึกงานคนหนึ่งไปที่นั่น เขาสังเกตเห็นว่าเบนยังคงเรียงหมอนอิงเป็นแถวไว้บนเตียงเหมือนอย่างที่ภรรยาของเขาชอบวางไว้
ส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งในบ้านของเบนก็คือตู้เสื้อผ้าซึ่งสะท้อนถึงการเป็นผู้บริหารฝ่ายผลิตที่ประสบความสำเร็จ ทีมงานของซีอาสร้างตู้เสื้อผ้าให้เบนเพื่อเป็นตัวแทนถึงชีวิตของเขาส่วนที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว
สถานที่จริงแห่งอื่นๆ ในบรู๊คลินถูกใช้เป็นโกดังของ ATF ร้านกาแฟสองแห่งและตลาด โรงเรียนของเพจในพาร์ค สโลป สวนคอบเบิล ฮิลล์ซึ่งเบนและเพจไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิด และสวนพรอสเพ็กต์ซึ่งเบนไปเรียนไทเก็ก บ้านสมัยวิกทอเรียนที่ย่านดิตมาส พาร์คในบรู๊กลิน ซึ่งใช้เป็นบ้านพ่อแม่ของจูลส์ในนิว เฮเวน รัฐคอนเนกติกัต และเมเยอร์สได้ถ่ายฉากสำคัญซึ่งจูลส์เปิดใจกับเบนในโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรียบนถนนพาร์ค อเวนิว ซึ่งใช้เป็นฉากโรงแรมแฟร์มอนต์ในซานฟรานซิสโก สถานที่อีกแห่งหนึ่งในบรู๊คลินก็คือร้าน Teddy's Bar & Grill ในกรีนพอยต์ซึ่งใช้ในฉากสำคัญที่จูลส์ดื่มสังสรรค์กับเบนและเด็กฝึกงาน
ในฉากตลกฉากหนึ่ง ตัวละครจัสตินที่รับบทโดยเดอวีนต้องร้องเพลงแร็พของบัสตา ไรม์ส ที่ชื่อ Break Ya Neck ในรถ ระหว่างที่เบนและเด็กฝึกงานคนอื่นๆ แก้ปัญหาให้จูลส์อยู่นอกสำนักงาน ขณะที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย บรรดาเด็กฝึกงานกลับต้องจ้ำขึ้นจ้ำลงบันไดท่ามกลางอากาศร้อน แม้ใส่ชุดสูทผ้าขนสัตว์และเนคไทระหว่างการเล่นหลายเทค เดอ นีโรกลับไม่มีเหงื่อเลย ส่วนพวกหนุ่มๆ ต่างเหงื่อแตกพลั่กและมองด้วยความทึ่ง เมเยอร์สเล่าว่า "พวกเขาถามเหมือนแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า 'คุณเจ๋งจริงๆ เหงื่อไม่ออกได้ไงเนี่ย' เขาก็ตอบว่า 'นี่ผมต้องฝึกหลายปีเลยนะ แล้วเดี๋ยวจะสอนให้' เป็นฉากที่ถ่ายทำกันสนุกมากค่ะ"
เครื่องแต่งกาย
เบน
ผมชอบใส่สูทมากกว่าน่ะ ถ้าได้นะ…
จูลส์
ได้เลยค่ะ ไม่มีปัญหา แบบสมัยก่อนสินะ
เบน
ใช่เลยครับ อย่างน้อยผมจะได้ดูเด่นหน่อย
จูลส์
ฉันว่าเรื่องนั้นคุณไม่ต้องใช้สูทหรอก
จูลส์อาจทำเว็บไซต์แฟชั่นแต่เธอไม่ใช่คนเดียวที่รู้เรื่องสไตล์ เสื้อผ้าของเบนสะท้อนว่าเขาเป็นผู้ชายที่รู้จักนำเสนอตัวเองเป็นอย่างดีจากหัวจรดเท้า ด้วยการแต่งกายอย่างไร้ที่ติ เขาค่อยๆ สร้างแรงบันดาลใจให้หนุ่มๆ ที่ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์หันมาภาคภูมิใจในรูปลักษณ์ของตนมากยิ่งกว่าเดิม
ทันทีที่เสร็จงานฉาก เมเยอร์สก็ส่งภาพให้นักออกแบบเครื่องแต่งกายและทีมงานของเธอทาง Pinterest
นักออกแบบเครื่องแต่งกาย แจ็คเกอลีน เดเมเทริโอได้รับการแนะนำให้รู้จักกับผู้กำกับผ่านทางลูกสาวของเมเยอร์ส ซึ่งเป็นผู้บริหารฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Chanel "เรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับแฟชั่น ฉันตื่นเต้นที่จะได้มีส่วนร่วมทั้งนั้นค่ะ และแนนซีก็รู้เรื่องแฟชั่นดี ลุคที่เราเห็นในออฟฟิซ ATF มีตั้งแต่หนุ่มสาวฮิปสเตอร์ไปจนถึงแบบเก๋ไก๋ตามแฟชั่น"
เดเมเทริโอและเมเยอร์สพบกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับตัวละครและเปรียบเทียบแนวคิดกัน "ฉันนำภาพถ่ายที่ใช้เป็นแรงบันดาลใจมาให้และแนนซีก็ดึงภาพจาก Pinterest ของเธอมาให้ดู ภาพเหล่านั้นก็แทบจะตรงกันเป๊ะๆ เลย เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ นะคะ เท่ากับว่ารสนิยมเราคล้ายคลึงกันมากซึ่งเป็นเรื่องดีค่ะ เธอมีรสนิยมด้านความงามดีมากซึ่งฉันชื่นชมค่ะ"
ซูซานน์ ฟาร์เวลล์ เสริมว่า "จุดเด่นหนึ่งในหนังของแนนซี เมเยอร์ส นอกเหนือจากความใส่ใจในรายละเอียดการออกแบบงานสร้าง ก็คือการให้ความสำคัญไม่แพ้กันกับการออกแบบเครื่องแต่งกายและการนำเสนอแฟชั่นที่ล้ำสมัย"
เดเมเทริโรกล่าวถึงการทำงานกับ โอเดอ บรอนสัน-โฮเวิร์ด นักออกแบบเครื่องแต่งกายของเดอ นีโร ว่า "เราทดลองให้บ็อบใส่เสื้อเชิ้ตและสูทแบบต่างๆ สุดท้ายเขาก็ได้ใส่ชุดของ Brooks Brothers และ Hickey Freeman ในหนังเรื่องนี้เขาใส่สีน้ำเงินและเทาเป็นส่วนมาก"
เมเยอร์สต้องการการแยกแยะความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างเดอ นีโรกับเด็กฝึกงานคนอื่น "เขาสวมเสื้อเชิ้ตติดกระดุมตลอดทั้งเรื่อง ดังนั้นฉันจึงพยายามหลีกเลี่ยงการให้คนอื่นๆ ใส่เสื้อแบบเดียวกัน" เดเมเทริโอกล่าว "พวกเขามีลุคแบบฮิปสเตอร์บรู๊คลินที่ผสมผสานระหว่างเสื้อผ้าวินเทจระดับล่างกับเสื้อผ้าระดับสูงจาก Barneys และ Bergdorf เบนสร้างความประทับใจให้หนุ่มๆ จนกระทั่งพวกเขาค่อยๆ เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเองและเริ่มพยายามใส่เสื้อเชิ้ตเป็นเรื่องเป็นราว รวมถึงแม้กระทั่งเสื้อนอกและเนคไทด้วย"
สำหรับเครื่องแต่งกายของแฮทธาเวย์นั้น เมเยอร์ส ระบุว่า "ฉันมีความคิดอยู่บ้างว่าอยากให้เธอดูเป็นอย่างไร แล้วจากนั้นแจ็คกีซึ่งเก่งสุดยอดมากๆ ก็จะทำออกมาได้เป๊ะเลย"
ทีมงานพิจารณาปัจจัยหลายข้อในการเลือกเครื่องแต่งกายให้แฮทธาเวย์ เธอเล่ารายละเอียดว่า "จูลส์มีสไตล์ที่เก๋มาก แต่เธอก็เป็นคุณแม่ด้วย เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่เธอใส่จะต้องเป็นมิตรกับเด็ก หรืออย่างน้อยก็เชื่อได้ว่าเธอจะต้องกลับบ้านไปหาเด็กห้าขวบทุกวัน เราต้องการให้มันเรียบง่าย ก็เลยต้องหาสิ่งที่ดูคลาสสิคแต่ก็เก๋ด้วย เมื่อเราเริ่มต้นพูดถึง แคทเธอรีน เฮพเบิร์น ตัวตนของจูลส์ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นทีละนิด แล้วพอเราพูดออกมาว่า 'เอาล่ะ เธอจะเป็นเหมือนแคเธอรีน เฮพเบิร์ตในแบบโพสต์พังค์หน่อยนะ' ทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้นมากสำหรับเราค่ะ"
เดเมเทริโอยอมรับว่าชุดของแฮทธาเวย์เป็นชุดโปรดของเธอ "สำหรับฉัน การจัดเสื้อผ้าให้จูลส์สนุกที่สุดค่ะ มีอยู่ลุคหนึ่งเป็นกางเกงผู้ชายทรงหลวมกับเสื้อยืดวินเทจและเบลเซอร์ทักซิโดที่สวยมากคู่กับรองเท้าผ้าใบ Celine และกระเป๋า Chanel ฉันผสมผสานหลายๆ อย่างเข้าไปในชุดของเธอเพื่อให้สัมพันธ์กับคนอื่นๆ ใน ATF และไม่หลุดออกมามากนัก ฉันใช้ผลงานของ Celine และ St. Laurent, Valentino, Hermès และนักออกแบบชาวปารีส Cedric Charlier"
นอกเหนือจากตัวละครหลัก เดเมเทริโอยังมีตัวประกอบกว่าร้อยคนที่จะต้องแต่งตัวให้แทบทุกวัน แต่คนเหล่านี้ไม่ใช่ตัวประกอบธรรมดาทั่วไปเพราะพวกเขา "ทำงาน" ในบริษัทแฟชัน และการแต่งตัวก็ต้องสะท้อนถึงกระแสแฟชั่นด้วย "การถ่ายทอดให้เห็นถึงอารมณ์ความเป็น ATF ถือเป็นสิ่งสำคัญ" นักออกแบบเครื่องแต่งกายรายนี้กล่าว
สิ่งที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศก็คือเพลงประกอบโดยนักแต่งเพลง ธีโอดอร์ ชาพิโร นอกจากนี้เมเยอร์สยังใช้เพลงหลากหลายร้อยเรียงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของหนังเพื่อช่วยคั่นเหตุการณ์ได้อย่างชาญฉลาด อันได้แก่ "Ain't Misbehavin' ของเบนนี กู๊ดแมน, "Boogie Shoes" ของเคซี แอนด์ เดอะ ซันไชน์, "All About That Bass" ของเมแกน เทรเนอร์ และแม้กระทั่งการอ้างอิงถึงเพลงประกอบของ "Oceans Eleven" ในฉากที่เข้ากันพอดี
เมเยอร์สกล่าวว่า "ตอนเบนสมัครงานที่ ATF เขาคิดว่านักดนตรีจะไม่หยุดทำงานจนกว่าไม่มีดนตรีอยู่ในตัวพวกเขาแล้ว ฉันคิดว่าทุกคนล้วนมีดนตรีอยู่ในตัวเองและสามารถมีได้ตราบใดที่ยังมีความหลงใหลในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ฉันหวังว่า 'The Intern' จะทำให้คนดูได้หัวเราะ แต่ก็หวังด้วยว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้คนจำไว้ว่าถ้าคุณหลงรักอะไรสักอย่าง ก็อย่าลืมความหลงใหลที่คุณมีต่อสิ่งนั้น ลงมือทำตราบใดที่คุณยังทำได้ และทำให้ดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้"
?
?
?