กรุงเทพฯ--12 ต.ค.--IR Network
"นรากร ราชพลสิทธิ์" ซีอีโอ บมจ.ยูเรกา ดีไซน์ (UREKA) เปิดแผนโค้งสุดท้ายปี"58 ขอมุ่งเน้นงานมาร์จิ้นดี พร้อมลุยทำเครื่องจักรในอุตสาหกรรมอื่นที่ยังมีดีมานด์สูง ขณะที่ธุรกิจกลุ่มเครื่องจักรกลการเกษตรปีนี้ เตรียมเข็นผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด อีก 3 ผลิตภัณฑ์ คือ เครื่องเก็บมันสำปะหลัง, เครื่องปลูกสับปะรดและเครื่องคว้านเม็ดลำไย เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงจากกลุ่มยานยนต์ คาดสัดส่วนรายได้กลุ่มเกษตรปีนี้อยู่ที่ 10% ของรายได้รวม เล็งขยายไลน์สู่กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก เหตุมีศักยภาพในการเติบโตสูง-คู่แข่งน้อย เผยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรร่วมทุนขยายธุรกิจ ช่วยต่อยอดรายได้ คาดได้ข้อสรุปในปีนี้
นายนรากร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเรกา ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) (UREKA) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่า บริษัทฯจะมุ่งเน้นทำเครื่องจักรอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีอัตรากำไรที่ดี โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นราว 30-35% และงานออกแบบครั้งเดียว แต่สามารถผลิตเพื่อจำหน่ายได้หลายครั้ง นอกจากนี้ ยังมองการทำเครื่องจักรในอุตสาหกรรมอื่นที่ยังมีความต้องการสูง เพื่อกระจายฐานรายได้และลดความเสี่ยงของธุรกิจ
สำหรับธุรกิจกลุ่มเครื่องจักรกลการเกษตรในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดอีก 2-3 ผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มรายได้และกระจายความเสี่ยง โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจเกษตรปีนี้จะอยู่ที่ 10% ของรายได้รวม และปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มเป็น 20% ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯได้เปิดตัวไปแล้ว 4 ผลิตภัณฑ์ คือ 1.เครื่องฆ่ามอดข้าวและไข่ข้าว 2.เครื่องปลูกมันสำปะหลัง 3.เครื่องสีข้าวชุมชน 4.เครื่องรีดยางพารา
"หลังจากอุตสาหกรรมยานยนต์ซบเซา เราก็ได้กระจายความเสี่ยงออกไปในอุตสาหกรรมอื่นๆเพิ่มเติม โดยปัจจุบันได้หันไปยังธุรกิจการเกษตรแล้ว ซึ่งตลาดเกษตรเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ แต่เนื่องจากสินค้าของบริษัทเป็นของใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อนจึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการแนะนำสินค้า เพื่อให้เกษตรกรเข้าใจ" นายนรากร กล่าว
นอกจากนี้ ยังเตรียมขยายไลน์ธุรกิจ สู่อุตสาหกรรมพลาสติก เนื่องจากเล็งเห็นว่ากลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวมีความต้องการเครื่องจักรเป็นจำนวนมาก ทั้งใช้ในประเทศและสำหรับประเทศเพื่อนบ้านในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ขณะที่ในตลาดมีจำนวนมีผู้ผลิตอยู่น้อยราย จึงมีความน่าสนใจ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้า ซึ่งน่าจะสามารถเริ่มจำหน่ายได้ในปีนี้ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีออเดอร์เข้ามาประมาณ 50-100 เครื่อง คิดเป็นมูลค่า 50-100 ล้านบาท
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทฯกำลังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรหลายราย เพื่อร่วมทุนขยายธุรกิจต่อยอดรายได้ อันเป็นช่องว่างหลักสำหรับสินค้าของบริษัทที่เป็นรายได้เนื่องจากงานโครงการและงานขายที่มีความไม่สม่ำเสมอ ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้