กรุงเทพฯ--12 ต.ค.--124 คอมมิวนิเคชั่นส คอนซัลติ้ง
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ "อบก." ได้ให้การรับรองปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างปี 2557-2558 แก่โรงผลิตสาธารณูปการ แห่งที่ 2 ของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) จากการส่งโครงการ "Cogeneration Plant at GPSC (Central Utility Plant #2 : CUP-2)" เข้าร่วมเป็นโครงการต้นแบบการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program : T-VER) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก อบก. โดยโครงการได้รับการรับรองการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกถึง 40,013 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) จากการดำเนินการโครงการในปี 2557-2558 ทั้งนี้โรงผลิตสาธารณูปการ 2 นั้น ยังเป็นโครงการแรกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ ในประเภทการติดตั้งระบบผลิตพลังงานร่วมใหม่ทั้งระบบ (New Installation of Cogeneration System) ภายใต้โครงการ T-VER อีกด้วย
นายโกวิท จึงเสถียรทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายแผนงานองค์กร บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) แกนนำในการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. และผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และสาธารณูปโภคชั้นนำของไทย เผยว่าศูนย์สาธารณูปการที่ 2 ของ GPSC ตั้งอยู่ที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ที่เข้าร่วมในโครงการ T-VER นั้น เป็นโรงไฟฟ้าแบบพลังงานร่วม (Cogeneration) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้การใช้เชื้อเพลิงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ยังผลให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตที่ลดลง เมื่อเทียบกับการผลิตพลังงานไฟฟ้าและไอน้ำเพื่อการใช้งานจากระบบผลิตแบบแยกส่วน
ทั้งนี้การร่วมดำเนินการดังกล่าวเป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของ GPSC ในการดำเนินการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมกับการพัฒนาของชุมชนและสิ่งแวดล้อมด้วยความยั่งยืน ซึ่งการดำเนินการโครงการลดก๊าซเรือนกระจกในครั้งนี้ ยังสอดคล้องกับนโยบายของกลุ่ม ปตท. ในการการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Product) การบริหารจัดการกระบวนการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Process) และการสร้างความตระหนักในการรักษ์สิ่งแวดล้อม (Public Awareness) รวมถึงยังสอดคล้องกับการแสดงเจตจำนงของประเทศไทยในการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 7-20 จากการดำเนินงานปกติ ของภาคพลังงานและภาคการขนส่ง ภายในปี พ.ศ. 2563 เสนอต่อที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP20) เมื่อเดือนธันวาคม 2557 ที่ผ่านมา