กรุงเทพฯ--13 ต.ค.--ทริสเรทติ้ง
ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 700 ล้านบาทของ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "A" ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ "A" เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง "Stable" หรือ "คงที่" ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้และสำรองเป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนกระแสเงินสดที่เติบโตขึ้นจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหาร รวมถึงสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจอาหารบริการด่วน และการมีโรงแรมที่หลากหลาย ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการสนับสนุนจากกลุ่มเซ็นทรัลด้วย อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและถูกกระทบได้ง่ายจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ รวมทั้งจากลักษณะของธุรกิจอาหารบริการด่วนที่มีอัตรากำไรต่ำ ทั้งนี้ ธุรกิจทั้ง 2 ประเภทจัดว่ามีการแข่งขันที่รุนแรงเมื่อพิจารณาจากอุปสงค์ของจำนวนห้องพักในโรงแรมที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและการทำการตลาดเชิงรุกในหมู่ผู้ประกอบการอาหารบริการด่วน
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจหลักของบริษัทต่อไป ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มจำนวนและความหลากหลายให้แก่ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารได้โดยที่ยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทหดตัวลงเป็นเวลานาน หรือบริษัทมีการลงทุนที่มีการก่อหนี้จำนวนมาก
บริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซาก่อตั้งโดยตระกูลจิราธิวัฒน์ในปี 2523 โดยปัจจุบันตระกูล จิราธิวัฒน์ถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน 63% บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารในประเทศไทย ทั้งนี้ ในปี 2557 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมคิดเป็นสัดส่วน 45% ของรายได้รวมทั้งหมด ในขณะที่บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจากโรงแรมคิดเป็นสัดส่วน 74% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายรวมทั้งหมด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บริษัทบริหารโรงแรม 41 แห่ง รวมจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 7,805 ห้อง โดยโรงแรมทั้งหมดตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของไทยและในต่างประเทศ 4 ประเทศ ได้แก่ มัลดีฟส์ เวียดนาม ศรีลังกา และอินโดนีเซีย บริษัทบริหารงานโรงแรมภายใต้แบรนด์ "เซ็นทารา แกรนด์" "เซ็นทารา" และ "เซ็นทรา" และมีโรงแรมของตนเองทั้งสิ้น 15 แห่ง โดย 1 แห่งอยู่ภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ โรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของโดยตรงคิดเป็นสัดส่วน 49% ของจำนวนห้องทั้งหมด
บริษัทดำเนินธุรกิจอาหารบริการด่วนภายใต้การบริหารงานของบริษัทในเครือคือ บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด โดยปัจจุบัน บริษัทเซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป ให้บริการอาหารบริการด่วนจำนวน 12 แบรนด์ซึ่งประกอบด้วยร้านอาหารภายใต้แฟรนไชส์จากต่างประเทศจำนวน 10 แบรนด์และแบรนด์ของบริษัทเองจำนวน 2 แบรนด์ คือ "ริว ชาบู ชาบู" และ "เดอะ เทอเรส" โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีจำนวนสาขาร้านอาหารรวมทั้งหมด 774 แห่งทั่วประเทศ
ในปี 2557 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อยาวนาน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 7% อยู่ที่ 24.78 ล้านคน อย่างไรก็ตาม หลังจากความตึงเครียดทางการเมืองได้ยุติลงจากการทำรัฐประหารในกลางปี 2557 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ปรับฟื้นตัวอย่างมาก โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น 7% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 และ 29% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 เนื่องจากการมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูงและความต้องการเดินทางท่องเที่ยวอย่างมากภายในภูมิภาคเอเชีย โดยจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนเพิ่มขึ้น 108% สู่ระดับ 3.97 ล้านคนในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ในขณะเดียวกัน จำนวนนักท่องเที่ยวชาวยุโรปกลับปรับตัวลดลง 14% สู่ระดับ 2.82 ล้านคนเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียลดลงอย่างมาก ทั้งนี้ แนวโน้มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยยังอยู่ในระดับดีจากการมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าดึงดูดใจและความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยท้าทายอีกมากที่อาจจำกัดการเติบโตของการท่องเที่ยวไทย เช่น การชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการที่จะถนอมรักษาและคงสภาพทรัพยากรทางธรรมชาติให้น่าดึงดูดใจอย่างยั่งยืน
ในปี 2557 ความวุ่นวายทางการเมืองส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพ และส่งผลให้อัตราการเข้าพักโรงแรมลดต่ำลงสู่ระดับ 74.8% ในปี 2557 จากระดับ 79.8% ในปี 2556 แต่รายได้ค่าห้องพักเฉลี่ยต่อจำนวนห้องทั้งหมดของบริษัทยังเพิ่มขึ้น 4.2% เนื่องจากราคาห้องพักของโรงแรมใหม่ในหมู่เกาะมัลดีฟส์มีราคาสูง อย่างไรก็ตาม ในปี 2557 รายได้จากธุรกิจโรงแรมคงที่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเนื่องจากการอ่อนตัวของการใช้จ่ายด้านอาหารภายในโรงแรม สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2558 รายได้ค่าห้องพักเฉลี่ยต่อจำนวนห้องทั้งหมดของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสัดส่วน 8.6% สู่ระดับ 4,079 บาทต่อคืนตามการฟื้นตัวของอัตราการเข้าพักโรงแรมที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 80.9% เมื่อเทียบกับระดับ 72.4% ของช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา
ในปี 2557 รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 5% สู่ระดับ 17,992 ล้านบาทจากรายได้ธุรกิจอาหารที่ปรับขึ้น 9% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 8% สู่ระดับ 9,538 ล้านบาทจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจโรงแรม อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงจากระดับ 21.5% ในปี 2556 เป็น 20.7% ในปี 2557 เนื่องจากธุรกิจอาหารได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นและการขาดทุนจากการปิดแบรนด์ร้านอาหาร ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 อัตรากำไรจากการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 25.3% จากการปรับตัวที่ดีขึ้นของการดำเนินงานของโรงแรมในกรุงเทพฯ และการควบคุมต้นทุนในธุรกิจอาหาร
อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 55.8% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 สู่ระดับ 49.1% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นจาก 2,938 ล้านบาทในปี 2556 เป็น 3,163 ล้านบาทในปี 2557 และอยู่ที่ระดับ 2,078 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นจาก 21% ในปี 2556 เป็น 25.2% ในปี 2557 และที่ระดับ 32.7% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ส่วนอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจากระดับ 5.9 เท่าในปี 2556 เป็น 8 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าบริษัทมีภาระในการชำระหนี้ประมาณ 1,800 ล้านบาทและมีภาระหนี้ระยะสั้นจำนวน 748 ล้านบาท โดยสภาพคล่องของบริษัทจะมีเพียงพอสำหรับภาระหนี้ระยะสั้นและจะได้รับการสนับสนุนจากเงินสดในมือจำนวน 340 ล้านบาทรวมทั้งวงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ อีกประมาณ 2,000 ล้านบาท
ในช่วงปี 2558-2560 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 6% ต่อปีจากการเพิ่มราคาห้องพักและจากอัตราการเข้าพักโรงแรมตามปกติที่ระดับ 78% นอกจากนี้ โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 21%-22% ส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานจะปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3,500 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทมีแผนจะใช้เงินลงทุนประมาณ 12,000 ล้านบาทเพื่อก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่และขยายจำนวนร้านอาหาร โดยบริษัทมีแผนจะขยายจำนวนร้านอาหารเพิ่มเป็น 1,200 ร้านภายในปี 2563 ดังนั้น คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นแต่อยู่ในระดับไม่เกิน 55% ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ที่ระดับเฉลี่ยประมาณ 25%
บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) (CENTEL)
อันดับเครดิตองค์กร: A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
CENTEL163A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A
CENTEL163B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A
CENTEL169A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 700 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2561 A
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable