กรุงเทพฯ--15 ต.ค.--อาร์เอส
กลายเป็นประเด็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ชั่วข้ามคืน เมื่อ "คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์" สั่งแบนภาพยนตร์เรื่อง "อาบัติ" ของค่ายสหมงคลฟิล์ม ด้วยเหตุมีเนื้อหาไม่เหมาะสม ทำให้มีเสียงวิพาษ์วิจารณ์โดยเฉพาะในสังคมโซเชียลที่หนุนให้ภาพยนตร์ "อาบัติ" เข้าฉายโดยไม่มีการตัดต่อ ล่าสุด "ปรัชญา ปิ่นแก้ว" โปรดิวเซอร์หนังเรื่องนี้ ขอเปิดใจทุกปมที่ประเด็นร้อนก่อนเข้ารายการ "ข่าวช่อง 2" ที่ สตูดิโอ ช่อง 2 ลาดพร้าว 15
ความคืบหน้าของอาบัติ ?
"เราก็พยายามทำยังไงให้ภาพยนตร์ได้ฉายให้ได้ ซึ่งจริงๆ ก็มีขั้นตอนของมัน มีการอุธรณ์ครับแต่ว่ามันใช้เวลา 15 วัน หลักจากถูกแบน แล้วกรรมการใช้เวลาก็ 30 วันในการพิจารณาซึ่งเรามองว่ามันช้าไป เพราะว่าเราเสียโอกาสในการที่จะฉายไปแล้ววันที่ล๊อคเอาไว้ ก็เลยพยายามที่จะยอมตัดต่อบ้างทั้งที่ไม่อยากจะตัด แล้วก็พยายามให้ท่านคณะกรรมการลองตรวจอีกสักครั้งหนึ่ง"
วันนี้ได้ตรวจหรือยังในส่วนที่ตัดใหม่ ?
"ยังครับ ก็พยายามที่จะเสนอให้คณะกรรมการตรวจอีกรอบ"
ฉากสำคัญจะหายไปไหม ?
"ฉากที่ว่าแรงๆ เราต้องตัดเพราะทางคณะกรรมการเขาติดฉากแรงๆ แต่จริงๆ แล้วพอตัดไปแล้วมันเสียอรรถรสครับ เพราะว่ามันส่งผลกัน เราจะระมัดระวังพยายามตัดไม่ให้เสียอรรถรส"
หลายฉากไหมที่ต้องตัด ?
"ก็เยอะนะครับ ถ้าว่าด้วยภาพก็เยอะ แต่ว่าเราไม่ได้ตัดตามเป๊ะๆ ที่ทางคณะกรรมการว่ามา แต่ที่คณะกรรมการว่ามานั้นเขาก็ได้บอกว่า 4 ข้อนั้นเป็น 4 ข้อที่จะให้เราตัด เพราะคณะกรรการเขาให้ 4 ข้อนั้นคือที่เขาเกิดความรู้สึกไม่ดี แต่ว่าตัดสินใจว่าแบน ไม่ได้ตัดสินใจให้เราตัด 4ข้อนี้ เพราะฉะนั้นเราเลยเลือกตัดตามดุลย์พินิจของเราให้รักษาการเล่าเรื่องให้สมบูรณืให้มากที่สุดครับ"
ได้ยื่นไปใหม่หรือยัง ?
"ยังครับ พยายามติดต่อยื่น แจ้งความจำนงว่าเราอยากจะเสนอใหม่"
4 ข้อที่ขอมาต้องตัดทั้งหมด ?
"ไม่เป็นตามนั้นทั้งหมดครับ อย่างเช่นว่าฉากเณรดื่มเหล้าเราก็ตัด ตัดตอนดื่มออกไป แต่ยังเล่าเรื่องว่าดื่มอยู่ ส่วนที่ว่าเณรพูดจาแรงไม่เหมาะสมอันนั้นตัดออกไม่ได้ แล้วที่ว่าเณรไปจับเศียรพระในลักษณะเหมือนไม่ให้ความเคารพวัตถุนะครับ พูดถูกไหมวัตถุ(หัวเราะ) ก็อันนั้นเอาออกไปหน่อย"
เท่าที่พี่ปรัชดู ตอนที่ตัดออกแล้วเป็นยังไงบ้าง ?
"ความรู้สึกบางอย่างมันหายไปนิดหนึ่ง แต่จริงๆแล้วในภาพอื่นยังได้อยู่"
คิดว่าจะผ่านไหม หลังจากตัดแล้ว ?
"อันนี้ยังตอบไม่ได้ ต้องถามกรรมการเพราะว่าเรายื่นให้ท่านพิจารณาใหม่"
ตอนนี้มีกระแสสังคม อยากให้หนังเรื่องนี้ได้ฉาย ?
"ได้ติดตามครับ อันนี้ก็ทำให้เราได้กำลังใจ อีกส่วนหนึ่งตอนนี้ผมมองข้ามการทำหนังเพื่อธุรกิจไปแล้วนะครับ ผมมองว่าอันนี้เป็นการเคลื่อนไหวที่ดีมากของสังคมเรา ผมว่าสังคมยังไม่รู้นะครับว่าคนทำหนังเราติดปัญหากับกฏหมายข้อหนึ่งซึ่งสื่ออื่นๆ ไม่ติด สื่ออย่างพวกคุณ(นักข่าว) ก็ไม่ติดคุณจะนำเสนออะไรคุณไม่ต้องให้รัฐบาลมาควบคุม เพราะจริงๆ กฏหมายรัฐธรรมนูญมีข้อหนึ่งที่ว่าด้วยรัฐบาลต้องไม่แทรกแซงสื่อเพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนเป็นสื่อ ภาพยนตร์ก็เป็นสื่อ แต่ว่าไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านั้นนะครับ ในหลายปีก่อนภาพยนตร์ไม่ถูกจัดให้เป็นสื่อ แล้วเราก็ต่อสู้กันมาว่าเราควรจะมีกฏหมาย เราควรจะดูแลเราด้วยตัวเราเองเหมือนกับทุกคน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต่อสู้มาหลายปี เปลี่ยนรัฐบาลมาหลายชุดแล้ว ซึ่งเราต่อสู้กันมาโดยที่สังคมอาจจะไม่รู้ คราวนี้มาถึงจุดนี้ผมว่านี่แหละคือสิ่งที่เราจะบอกว่า สังคมไม่ได้ต้องการให้รัฐบาลมาตัดสิน เพราะฉะนั้นผมเลยดีใจมากที่การเคลื่อนไหวของสังคมเป็นแบบนี้ ในมุมของคนทำหนัง ในมุมของสมาคมผู้กำกับ ในมุมของสมาพันธ์ภาพยนตร์ก็จะใช้โอกาสนี้เจรจากับทางรัฐบาลว่าเปลี่ยนกฏหมายเถอะ เราทำหนังเข้าไปเนี่ย เราก็มีความรับผิดชอบสังคม ถ้าสังคมจะแบนก็ยินดี ไม่ใช้ให้ 7 คนมาแบน เพราะว่า 7 คนมาแบนไม่มีใครยอม แต่ทุกวันนี้ที่เรายอมเพราะว่าเราอยู่ใต้กฏหมายนี้อยู่"
มีคนมาลงชื่อเยอะมาก ?
"อยากให้เยอะ อันนี้เท่ากับว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มาจากฝีมือของประชาชน เพราะว่าประชาชนเลือกได้ ผมว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องมาก"
ปล่อยแค่ตัวอย่างหนัง ยังมีกระแสสังคมยอมรับขนาดนี้ ?
"ก็ดีใจที่สังคมบอกรัฐบาลว่าเราแยกแยะได้ เพราะว่าในบริบทของภาพยนตร์เราก็รู้กันอยู่ใช่ไหมครับแค่นี้มันไม่ได้อะไรหรอก เพราะจริงๆ แล้วก่อนที่เราจะตัดต่อตัวอย่างตอนนั้นออกไป เราก็คุยกันหลายรอบว่าบางภาพอาจจะสร้างความเข้าใจผิด ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็ลดทอนไป แต่จำเป็นต้องเล่าอย่างนี้เพราะเรื่องมันมาทางนี้แล้วก็ในขั้นตอนหนังตัวอย่างมันก็ต้องผ่านการพิจราณาจากคณะกรรมการมาแล้วเหมือนกัน แล้วก็ได้ผ่านมาแล้ว จึงได้ฉายออกไป"
ทราบก่อนทำหนังไหมว่าอะไรที่จะทำให้ถูกแบน ?
"ทราบครับ แต่ทราบว่ามันกว้างมาก เพราะจริงๆ แล้วในไตติ้ลต่างๆ นั้นมีรายละเอียดครบถ้วน อันนี้ผมรู้ดีในแง่คนทำหนังแล้วก็อาจจะเป็นเพราะว่าผมไปเป็นตัวแทนของสมาคมผู้กำกับในการไปร่วมทำให้เกิด พรบ.ฉบับเรตติ้ง แล้วก็ไปร่วมร่างคู่มือ เพื่อไปตอบสนองกับกฏกระทรวงว่าด้วยเรตต่างๆ มันมีรายละเอียดอย่างไร เรื่องคำหยาบคาย เรื่องทางเพศ ความรุนแรง เรื่องทางศาสนา และความมั่นคงของชาติ นี่และครับเราจะรู้ว่าในเรตต่างๆ มีเรื่องพวกนี้อยู่ในระดับไหนได้ ซึ่งจะละเอียดมาก เราแก้กันหลายรอบด้วยกัน อันนี้คือเรตติ้ง แต่เรตแบนเนี่ยกว้างมาก เพราะว่าเรตแบนนี่เขาได้กำหนดไว้ในมาตรา 29 ที่ว่าด้วยภาพยนตร์ที่ทำให้เสื่อมเสีย และขัดต่อศีลธรรมอันดี แล้วก็ทำลายสถาบันของชาติ รวมถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ อันนี้กลายเป็นว่าปล่อยให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะกรรมการ ซึ่งเรามองเห็นตั้งแต่นานแล้วว่าตรงนี้เป็นปัญหาเพราะฉะนั้นเราก็ชี้ตรงนี้ตลอดว่า จำนวนเรตเนี่ยเราโอเคเห็นด้วยและดีด้วย แล้วก็สังคมต้องชอบอยู่แล้ว แต่ว่าแบนเนี่ยมีปัญหาแน่ๆ แต่จะมีเฉพาะภาพยนตร์ที่โดนแบน จะเห็นว่าก่อนหน้านี้เราไม่มีปัญหาใดๆ เลย แต่พอถึงโดนแบนจะมีปัญหา"
ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของคณะกรรมการที่ให้แบน ?
"จริงๆ ไม่เห็นด้วยกับระบบ ผมไม่ได้โทษคณะกรรมการ ไม่โทษกระทรวงวัฒนธรรม ผมโทษระบบ คือต่อให้เปลี่ยนคณะกรรมการชุดนี้เป็นชุดอื่นก็ตาม ก็เป็นไปได้ที่อาจจะแบน เพราะมันอยู่ที่หลักความคิดเห็น แต่ว่าไม่ควรให้กว้างเกินไปอยู่ที่ดุลยพินิจ มันไม่มีเกณฑ์มาจัด"
เรื่องนี้ก็มีการจัดเรตมาก่อน ?
"ต้องมีอยู่แล้ว ทุกเรื่องแหละ เพราะจริงๆ ตอนเรายื่น เราอยากได้เรต 18"
พี่ปรัชเป็นส่วนหนึ่งในการจัดเรต แต่หนังตัวเองโดนแบน ?
"พี่ไม่ได้ร่วมจัดเรต พี่ร่วมในการร่างกฏเกณฑ์กติกา คู่มือในการจัดเรต เราไม่ได้เป็นคณะกรรมการ เพราะการจัดเรตเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ 7 ท่าน"
ความเป็นไปได้ที่หนังจะเข้าฉาย ?
"อย่างที่ว่าเราพยายามทำทุกอย่างให้ได้ฉาย แต่ใจจริงเราอยากได้ฉายฉบับไม่ตัด เรายังมั่นใจมากๆ แต่ว่าโอเคเราต้องเคารพกติกา เคารพความคิดเห็นของกรรมการ เราก็พยายาม เราก็ยอมอ่อนลงมาในการตัด แล้วก็ให้ผ่านให้ได้ แต่เรามีลิมิตนะครับ เราคงไม่ตัดจนถึงกับว่าอะไรก็ได้ เราต้องรักษาความเป็นตัวตนเราอยู่เหมือนกัน"
พี่ปรัชได้คุยกัยบนักแสดงบ้างไหม ตอนนี้รู้สึกยังไง ?
"ผมไม่ได้คุยครับ แต่ว่าคนอื่น ผู้กำกับอาจจะได้คุย ก็เห็นเขาคุยอะไรกัน ผมไม่ได้คุยเพราะว่าอธิบายกับสื่อแล้วก็สังคมที่ตั้งคำถามมา"
อาบัติจะสอนอะไรให้กับสังคมบ้าง ?
"จริงๆ แล้วก็คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คำสอนพระพุทธเจ้าง่ายๆ แค่นั้นเอง เพียงแต่ว่าวิธีการเล่ามันก็แล้วแต่ผู้กำกับที่เขาอยากเล่าแบบไหน วิธีไหน แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง จริงๆ ผมก็แปลกใจที่ว่ายังมีคณะกรรมการดูแล้วรู้สึกแบบนั้น เพราะจริงๆ ถ้าเกิดว่าภาพยนตร์ที่เราดูแล้วรู้สึกว่ามีแนวโน้มที่จะรู้สึกแบบนั้น เราจะไม่แปลกใจ แต่อันนี้ไม่ใช่เพราะมันเคลียร์มากๆ แล้วก็ไม่มีอะไรที่ซับซ้อนเกินความไม่เข้าใจ และดูจบแล้วรักศาสนามากขึ้น และซึ้งกับศาสนาแน่นอนครับ"
หนังบ้านเรามุมมองแคบไปไหม ?
"ผมว่าคนไทยโดยเฉพาะชาวพุทธจะรักหนังเรื่องนี้ ผมเชื่อมั่นอย่างนั้น"
ได้คำตอบเมื่อไหร่ ว่าจะได้ฉาย/ไม่ฉาย ?
"จากการยื่นไปครั้งนี้ใช่ไหมครับ ก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้รอคำตอบว่าคณะกรรมการเขาจะรับหรือเปล่า จะรับตรวจอีกครั้งหรือเปล่า หรือรับแล้วจะรับเมื่อไหร่ จะตรวจเมื่อไหร่ อันนั้นยังไม่ทราบครับ"
ความเสียหายเยอะไหม ?
"อันนี้ต้องถามสหมงคล (หัวเราะ) มันเสียหายแน่ๆ ครับ แต่ว่าผมไม่รู้ว่ายังไง เท่าไหร่"
บั่นทอนใจไหม ?
"บั่นทอนครับ แต่ผมข้ามความรู้สึกนั้นมานานแล้ว ตอนนี้ผมดีใจที่ประชาชน สังคม เคลื่อนไหวในรูปแบบนี้ แล้วก็สื่อมวลชนให้ความสนใจในการนำเสนอเรื่องนี้ ทุกคนก็คงหวังให้ทุกอย่างมันออกมาดี แล้วก็พัฒนาสังคม เป็นซึ่งสิ่งที่ผมดีใจครับ"
ต่อไปต้องระวังเรื่องการทำหนังมากขึ้น ?
"จริงๆ แล้วในโลกของการสร้างสรรค์มันควรจะเปิดกว้าง คุณจะอะไรก็ได้เพียงแต่ว่าคุณต้องรู้นะว่าสิ่งที่คุณเสนอไปมันให้อะไรกับสังคม ง่ายๆ ทุกคนก็รู้อยู่แล้วควรจะให้ดีกับสังคม ไม่ใช่ไปให้ร้ายต่ออะไร"