กรุงเทพฯ--19 ต.ค.--MMM Digital Asset
ข้อมูลเบื้องต้น
"Bridge of Spies" ภาพยนตร์ดรามาเขย่าขวัญซึ่งมีฉากหลังเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์จาก DreamWorks Pictures/Fox 2000 Pictures เป็นเรื่องราวของเจมส์ โดโนแวน ทนายความคดีเรียกร้องค่าสินไหมซึ่งถูกผลักมาอยู่ ณ ใจกลางของสงครามเย็นเมื่อ CIA ส่งเขาไปทำภารกิจที่แทบเป็นไปไม่ได้ในการเจรจาปล่อยตัวนักบินอเมริกันผู้ขับเครื่องบิน U-2 และถูกจับเป็นเชลย
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยสตีเวน สปีลเบิร์ก แสดงโดยทอม แฮงค์ส, มาร์ค ไรแลนซ์, สก็อตต์ เชพเพิร์ด, เอมี ไรอัน, เซบาสเชียน คอช, อลัน อัลดา, ออสติน สโตเวลล์, มิคาอิล กอร์วอย และวิลล์ รอเจอร์ส
"Bridge of Spies" อำนวยการสร้างโดยสปีลเบิร์ก, มาร์ค แพล็ตต์ และคริสตี มาคอสโก ครีกเกอร์ โดยได้ อดัม ซอมเนอร์, แดเนียล ลูพาย, เจฟฟ์ สโคลล์ และโจนาธาน คิง ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร บทภาพยนตร์โดยแม็ตต์ ชาร์แมน รวมถึงอีธานและโจเอล โคเอน
เรื่องราวอันน่าทึ่ง
ในยุคทศวรรษ 1950 อันเป็นช่วงเริ่มต้นของสงครามเย็น ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตแผ่ขยายไปทั่ว ดังนั้นเมื่อ FBI ได้จับกุมตัว รูดอล์ฟ เอเบิล (มาร์ค ไรแลนซ์) สายลับโซเวียตซึ่งอาศัยอยู่ในนิวยอร์ก ความกลัวและความหวาดระแวงจึงมีแต่จะทวีขึ้น ด้วยข้อหาส่งข้อความที่เข้ารหัสกลับไปยังรัสเซีย เอเบิลถูกสอบสวนโดย FBI แต่ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือและบอกปัดข้อเสนอที่จะให้ทรยศต่อประเทศของตน เขาถูกกักตัวไว้ในเรือนจำกลางเพื่อรอการไต่สวน
เมื่อจำเป็นต้องหาทนายความอิสระเพื่อรับหน้าที่แก้ต่างให้เอเบิล รัฐบาลจึงติดต่อไปยังเจมส์ โดโนแวน (ทอม แฮงค์ส) ทนายความประกันภัยจากบรูกลิน แม้ว่าทักษะการเจรจาต่อรองของโดโนแวนจะได้รับการยกย่องอย่างสูงในหมู่นักกฎหมาย แต่เขาไม่ได้มีประสบการณ์มากนักสำหรับข้อหาลักษณะนี้และเรื่องใหญ่โตขนาดนี้จึงไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง การเป็นทนายความให้จำเลยซึ่งมีแต่คนเกลียดชังจะทำให้เขากลายเป็นบุคคลสาธารณะ และอาจทำให้ครอบครัวของเขาต้องถูกเพ่งเล็ง ดูถูกเหยียดหยาม หรือแม้กระทั่งได้รับอันตราย
แต่ในที่สุดโดโนแวนก็ตกลงรับเป็นทนายความให้เอเบิล เพราะเขายึดมั่นในหลักความยุติธรรมและการปกป้องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และต้องการให้แน่ใจว่าเอเบิลได้รับการไต่สวนอย่างเป็นธรรมไม่ว่าเขาจะเป็นพลเมืองของประเทศใด ขณะที่เขาเตรียมกลยุทธ์ในการแก้ต่าง ความผูกพันระหว่างทั้งสองก็เริ่มบังเกิดขึ้น เป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นจากความเคารพและความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดโนแวนชื่นชมความเข้มแข็งและความจงรักภักดีของเอเบิล และยกข้อแก้ต่างที่ชวนให้เห็นใจว่าเอเบิลกระทำการตามแบบของทหารกล้าผู้ปฏิบัติตามคำสั่งเพื่อประเทศของตน แต่คำแก้ต่างนั้นก็ไม่เป็นผล
ต่อมาหลังจากนั้นเครื่องบินสอดแนม U-2 ของอเมริกันถูกยิงตกเหนือน่านฟ้าโซเวียตระหว่างปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน และนักบิน ฟรานซิส แกรี พาวเวอร์ส (ออสติน สโตเวลล์) ก็ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 10 ปีในโซเวียต ทาง CIA ซึ่งปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ทราบเรื่องภารกิจดังกล่าว เกรงว่าพาวเวอร์สอาจถูกชักจูงให้เปิดเผยข้อมูลลับ หลังจากสังเกตเห็นทักษะอันน่าประทับใจของโดโนแวนในห้องพิจารณาคดี เจ้าหน้าที่ CIA ฮอฟฟ์แมน (สก็อตต์ เชพเพิร์ด) จึงแอบติดต่อหาเขาเพื่อขอให้มาทำภารกิจด้านความมั่นคงของประเทศซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง ด้วยความรักชาติ ความเชื่อมั่นอันไม่คลอนแคลน และความกล้าหาญอย่างมหาศาล ในไม่ช้าโดโนแวนก็ขึ้นเครื่องบินไปยังเบอร์ลินเพื่อเจรจาแลกเปลี่ยนนักโทษระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียต
จุดเริ่มต้น
จากความน่าสยดสยองของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ใน "Schindler's List" มาจนถึงการบุกครั้งใหญ่ที่ชายหาดโอมาฮาใน "Saving Private Ryan" สตีเวน สปีลเบิร์ก ผู้กำกับซึ่งชนะรางวัลออสการ์มาแล้วสามครั้ง ได้หยิบยกเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์มานำเสนอตลอดการทำงานที่ผ่านมา จากการศึกษาประวัติศาสตร์ด้วยตนเอง สปีลเบิร์กหลงใหลยุคสงครามเย็นมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก โดยเขายังคงย้อนรำลึกถึงพ่อและปู่ของเขา รวมถึงเรื่องราวเกี่ยวกับความเกลียดชังและความไม่ไว้วางใจอันฝังรากลึกระหว่างสหรัฐและรัสเซียในเวลานั้น
ผู้อำนวยการสร้างมาร์ค แพล็ตต์ ("Into the Woods," "Drive") กล่าวว่า "ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาอันน่าหวาดหวั่นในยุคสงครามเย็น ผู้คนยังคงจำกันได้เรื่องคู่สามีภรรยาโรเซนเบิร์กซึ่งถูกประหารชีวิตในข้อหาจารกรรม ถือเป็นอาชญากรรมขั้นร้ายแรงในช่วงเวลาที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น"
"ในตอนนั้นการมีชื่ออยู่บนพาดหัวข่าวว่าเป็นทนายให้สายลับถือเป็นเรื่องอันตรายมาก" สปีลเบิร์กผู้เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของ DreamWorks กล่าวเสริม "เพราะตอนผมเป็นเด็ก ผมก็รับรู้ได้ว่ามีความหวาดกลัวอย่างรุนแรงต่อระเบิดนิวเคลียร์และโซเวียตรัสเซีย"
นักเขียนบทละครและบทโทรทัศน์หนุ่มชาวอังกฤษ แม็ตต์ ชาร์แมน ("Suite Francaise") นำเรื่องจริงอันน่าทึ่งของเจมส์ โดโนแวนมาเสนอให้ผู้บริหารที่ DreamWorks และบรรดาผู้บริหารก็สนใจทันที แม้ว่าบทบาทของโดโนแวนไม่เป็นที่ทราบกันมากนักในประวัติศาสตร์สงครามเย็น แต่นี่คือเรื่องราวอันดึงดูดใจของชายผู้มีอุดมการณ์ที่ก้าวเข้ามาสู่แวดวงความมั่นคงแห่งชาติซึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม
แพล็ตต์คุ้นเคยกับเรื่องราวนี้และมองว่าน่าจะเข้ากับแนวทางของสปีลเบิร์กได้เป็นอย่างดี "สตีเวนเป็นผู้กำกับที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเรื่องนี้ครับ" แพล็ตต์กล่าว
และเขาก็พูดถูกเพราะสปีลเบิร์กหลงใหลเรื่องนี้จริงๆ เรื่องนี้มีองค์ประกอบของดรามาด้านกฎหมาย เรื่องเขย่าขวัญ และตำนานประวัติศาสตร์ แต่หัวใจของเรื่องนี้ก็คือตัวละครเจมส์ โดโนแวน ซึ่งสปีลเบิร์กพบว่าเป็นส่วนที่ดึงดูดที่สุด ทนายความผู้ได้รับการยกย่องและใช้ชีวิตตามแบบฉบับคนมีครอบครัวในยุคทศวรรษ 1950 กลับมารับภารกิจอันตรายโดยจัดการด้วยความสุขุมมั่นใจราวกับเป็นหัวหน้าองค์กรสายลับที่เก่งกาจ โดโนแวนเป็นชายผู้น่าทึ่ง และสปีลเบิร์กก็รู้ว่าเรื่องราวของเขามีศักยภาพมหาศาลในการนำมาทำหนัง
"แม็ตต์ทำงานได้วิเศษมากครับ เมื่อเขาทำเสร็จแล้ว เราก็นำร่างของเขาไปให้พี่น้องโคเอนซึ่งเขียนบทด้วยโทนซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวที่เหมาะสมที่สุดกับเรื่องนี้" แพล็ตต์กล่าว "ถ้าพูดถึงการเขียนบทสนทนาให้ตัวละคร ไม่มีใครเก่งไปกว่าโจเอลและอีธานอีกแล้วล่ะครับ"
พี่น้องโคเอนผู้ชนะรางวัลออสการ์มาแล้วสามครั้งและมีผลงานภาพยนตร์อันน่าประทับใจอย่าง "No Country for Old Men", "The Big Lebowski" และ "Fargo" ชื่นชอบในตัวงานชิ้นนี้ และเขียนร่างบทภาพยนตร์โดยนำประสบการณ์อันน่าทึ่งในชีวิตของโดโนแวนมาประสานเข้ากับเรื่องราวอันทรงพลังที่ถ่ายทอดแก่นแท้ของชายคนนี้ด้วยความเชี่ยวชาญ
สร้างตัวละครให้มีชีวิต
เมื่อได้บทภาพยนตร์ที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว แผนการสร้างหนังก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าทีมงานเบื้องหลังมือหนึ่งก็มารวมตัวกัน อันได้แก่ ผู้กำกับภาพ ยานุช คามินสกี ("Saving Private Ryan"), นักออกแบบงานสร้าง อดัม สต็อคเฮาเซน ("The Grand Budapest Hotel"), นักออกแบบเครื่องแต่งกาย คาเซีย วาลิคคา-ไมโมเน ("Foxcatcher"), ผู้ตัดต่อ ไมเคิล คาห์น ("Lincoln") และนักแต่งเพลง โธมัส นิวแมน ("Saving Mr. Banks")
เมื่อต้องเลือกผู้มารับบทสำคัญเป็น เจมส์ โดโนแวน ทนายความประกันภัยผู้ถ่อมตนและอดีตอัยการคดีที่นูเรมเบิร์กซึ่งถูกชักจูงเข้าไปเกี่ยวพันกับองค์กรอันทรงอำนาจอย่าง FBI และ CIA ตัวเลือกจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากนักแสดงผู้ชนะรางวัลออสการ์มาแล้วสองครั้ง ทอม แฮงค์ส ("Philadelphia," "Forrest Gump")
"ไม่มีใครเหมาะกับบทนี้ไปมากกว่าทอมอีกแล้วค่ะ" ผู้อำนวยการสร้าง คริสตี มาคอสโก ครีกเกอร์ ("Lincoln") กล่าว "เจมส์ โดโนแวนเป็นคนซื่อสัตย์รักครอบครัวที่อุทิศตนให้การรักษาคุณค่าของประชาธิปไตย จนกระทั่งเขายอมนำความสุขสบายและความปลอดภัยของตัวเองและครอบครัวไปเสี่ยง ด้วยฝีมือของนักแสดงชั้นเยี่ยมอย่างทอม แฮงค์ส เขาจะเป็นคนที่ผู้ชมเข้าถึงได้และคอยเอาใจช่วยในที่สุด"
ด้วยทีมงานคุณภาพที่มีส่วนเกี่ยวข้องในโครงการนี้ แฮงค์สมีแนวโน้มที่จะร่วมงานนี้โดยไม่ยังไม่ได้อ่านบทภาพยนตร์ด้วยซ้ำ และเมื่ออ่านแล้ว เขาก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว การที่แฮงค์สบังเอิญเป็นคนคลั่งไคล้ประวัติศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองในเบอร์ลินตะวันออก/ตะวันตกก็ยิ่งเป็นเรื่องดีเข้าไปใหญ่
แฮงค์สกล่าวว่า "เวลามีเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่ผมรู้เป็นบางส่วนแต่ไม่รู้ทั้งหมด นั่นล่ะครับเป็นงานที่ผมจะรีบตะครุบเลย"
แฮงค์สหลงใหลภาพวาดที่ซับซ้อนของตัวละครโดโนแวนที่ถ่ายทอดลงมาในบท เขาอธิบายว่า "แง่มุมความเป็นมนุษย์ในความสัมพันธ์ระหว่างโดโนแวนกับคนที่เขาว่าความให้เป็นสิ่งที่ทำให้เขาเป็นทนายความที่ต่างออกไป เขาไม่ได้เจรจาในประเด็นทางกฎหมายเท่านั้น แต่เขากำลังต่อสู้เพื่อ 'คนของเขา' จริงๆ"
แฮงค์สและสปีลเบิร์กมีความสัมพันธ์อันเป็นเอกลักษณ์และสร้างสรรค์ซึ่งช่วยยกระดับหนังเรื่องใดๆ ก็ตามซึ่งทั้งสองมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย การร่วมงานกันครั้งก่อนๆ ของทั้งสอง ได้แก่ "Saving Private Ryan", "Catch Me If You Can" และ "The Terminal" รวมถึงมินิซีรีส์ทางช่อง HBO ที่ชนะรางวัล Emmy® และรางวัลลูกโลกทองคำจากหนังสือของสตีเฟน แอมโบรส เรื่อง "Band of Brothers" และผลงานที่ชนะรางวัล Emmy เรื่อง "The Pacific" โดยทั้งคู่ได้ร่วมกันอำนวยการสร้างทั้งสองเรื่องนี้
สปีลเบิร์กกล่าวว่า "ผมชอบทำงานกับทอมครับ เขาจะลองทำทุกอย่าง และเขาก็มีแนวคิดเป็นพันๆ อยู่ในหัวและเปิดรับแนวคิดเป็นพันๆ จากคนอื่นด้วย เขาเป็นเหมือนผู้รวมความคิดสร้างสรรค์ซึ่งอยากคิดหาคำตอบในเรื่องต่างๆ ด้วยวิถีทางที่เป็นเอกลักษณ์"
ผู้ชนะรางวัล Emmy Award® เจ็ดครั้งและผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ อลัน อัลดา ("M*A*S*H*", "The Aviator") รับบทเป็นโธมัส วัตเทอร์ส หุ้นส่วนอาวุโสในบริษัทกฎหมายของโดโนแวน เขากล่าวว่า "นี่เป็นบทที่ยอดเยี่ยมสำหรับทอม เพราะถึงแม้ว่าตัวละครของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย แต่เขาก็ยังขบขัน ตลก เฉียบแหลม และถ่ายทอดความคิดได้ดี สิ่งเหล่านี้เป็นคุณสมบัติของทอมอยู่แล้วซึ่งช่วยให้เขารับบทนี้ได้น่าเชื่อถือมากขึ้น"
จากนั้นทีมผู้สร้างหนังก็เดินหน้าหานักแสดงมารับบทเป็นรูดอล์ฟ เอเบิล สายลับที่ถูกจับกุมตัวและการอุทิศตนเพื่อชาติก็ทำให้เขาได้รับความเคารพชื่นชมจากโดโนแวน ทีมงานมองหานักแสดงที่มีความสามารถเพื่อถ่ายทอดตัวละครซึ่งมีปมขัดแย้งเรื่องความภักดีและมีความลึกซึ้งอันน่าประหลาดใจ พร้อมกันนั้นก็ต้องเล่นคู่กับแฮงค์สได้อย่างสมน้ำสมเนื้อด้วย สปีลเบิร์กติดตามผลงานของนักแสดงอังกฤษ มาร์ค ไรแลนซ์ มานานหลายปี เขาอยากร่วมงานกับไรแลนซ์และมองหาบทบาทที่เหมาะสมอยู่ ซึ่งก็คือบทบาทนี้เอง
"มาร์คเป็นนักแสดงที่พิเศษสุดไม่ว่าจะทำงานในเรื่องไหน" สปีลเบิร์กกว่า "ผมเห็นเขาใน 'Twelfth Night' และการแสดงของเขาในเรื่องนั้นก็เป็นการปิดเกมเลยสำหรับผม"
ไรแลนซ์เป็นนักแสดงผู้ชนะรางวัล Tony Award® สามครั้งและชนะรางวัล Olivier สองครั้ง เขาเป็นที่รู้จักจากผลงานการแสดงละครเวทีที่ได้รับการยกย่องในละครอย่าง "Jerusalem" และ "Boeing Boeing" รวมถึงซีรีส์เรื่อง "Wolf Hall" ทางช่อง PBS เมื่อไม่นานมานี้ สำหรับเขา บทบาทนี้เป็นงานหินแต่เขาก็พร้อมรับความท้าทาย
ไรแลนซ์กล่าวว่า "เราไม่รู้มากนักเกี่ยวกับเอเบิล นอกจากเรื่องที่ว่าเขารับและส่งต่อข้อความตามจุดต่างๆ ทั่วนิวยอร์กโดยใช้เหรียญกลวง เขาเป็นคนที่เราเรียกกันว่าสายลับฝังตัว (sleeper spy)"
เขากล่าวต่อไปว่า "เอเบิลอยู่ในสหรัฐอเมริกามานานหลายปีก่อนเริ่มทำงานลับ และเขาก็ไม่ใช่หัวหน้าที่คอยสั่งการกลุ่มสายลับด้วย เขาแค่ปฏิบัติภารกิจ แต่เมื่อเขาถูกจับ รัฐบาลสหรัฐก็ทำให้เขาดูสำคัญมากกว่าความเป็นจริงไปบ้าง"
สปีลเบิร์กกล่าวว่า " 'Bridge of Spies' เป็นหนังเขย่าขวัญที่เน้นตัวละครโดยมีตัวละครเป็นรากฐานสำคัญของเรื่อง ด้วยนักแสดงขั้นเยี่ยมจากเยอรมนี อเมริกา และรัสเซีย ผมภูมิใจในทีมนักแสดงเรื่องนี้มากครับ"
สงครามเย็นบนจอภาพยนตร์
สถานที่ถ่ายทำ
"Bridge of Spies" เริ่มต้นการถ่ายทำหลักในเดือนกันยายน ปี 2014 และใช้เวลาถ่ายทำนาน 12 สัปดาห์ตามสถานที่ต่างๆ ในนิวยอร์ก เยอรมนี และโปแลนด์ โดยหลายแห่งเป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์จริงในเรื่อง
ในแมนฮัตตัน ทีมงานใช้ประโยชน์สูงสุดจากรูปแบบสถาปัตยกรรมที่หลากหลายของเมืองนี้และเขตต่างๆ ซึ่งตั้งอยู่ติดกัน การถ่ายทำเกิดขึ้นในพื้นที่หลายส่วนภายในและโดยรอบถนนวอลล์สตรีท รวมถึงจตุรัสโฟลีย์และสถานีรถไฟใต้ดินที่บรอดสตรีทซึ่งช่วยให้นักแสดงและทีมงานได้เข้าถึงบรรยากาศของเงินตราและเกียรติยศในโลกยุคเก่า สำนักงานของ New York Bar Association ที่ถนนสาย 44 ในย่านมิดทาวน์ถูกใช้เป็นฉากสำนักงานบริษัทกฎหมายของโดโนแวน
ในย่านควีนส์ กองถ่ายได้ไปถ่ายทำที่โรงเรียนประถมของรัฐบาลในแอสทอเรียพาร์คและสถานที่อีกหลายแห่งในบรู๊กลิน ตั้งแต่ย่านแฟลตบุชไปจนถึงบรู๊กลิน ไฮท์ส โดยดิทมัส พาร์ค ย่านอยู่อาศัยในบรู๊กลินซึ่งมีบ้านแบบโบราณตั้งอยู่บนถนนที่เงียบสงบและมีต้นไม้เรียงรายกลายเป็นพื้นที่อันเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวโดโนแวน และฝ่ายหาสถานที่ก็ได้พบบ้านเดี่ยวแบบวิกตอเรียนที่งดงามมีเสน่ห์และเต็มไปด้วยรายละเอียดแบบย้อนยุค โดยมีผังบ้านที่เปิดโล่งซึ่งช่วยให้งานของผู้ดูแลอุปกรณ์ ผู้จัดแสง และเหล่าผู้ช่วยง่ายขึ้นมาก
"บ้านหลังนี้มีระเบียงหน้าและสวนหลังบ้านเล็กๆ และดูเหมาะมากสำหรับครอบครัวโดโนแวน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเพราะเราต้องการแสดงให้เห็นว่าเขาผูกพันกับย่านที่เขาอยู่อาศัย" อดัม สต็อคฮาวเซน นักออกแบบงานสร้างผู้ชนะรางวัลออสการ์กล่าว
"ฉันรู้สึกเหมือนได้เดินทางย้อนเวลาตอนที่อยู่ในฉากค่ะ" นักแสดงผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ เอมี ไรอัน ("Birdman," "Gone Baby Gone") กล่าว เธอรับบทเป็นแมรี โดโนแวน ภรรยาของเจมส์ผู้คอยให้กำลังใจและมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยว "ไม่ว่าจะเดินไปตามถนนหรือเดินอยู่ในบริเวณบ้าน ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านของครอบครัวขนาดเล็กที่สมบูรณ์แบบซึ่งในหลายแง่ก็เป็นลักษณะของครอบครัวโดโนแวน"
ฉากภายในบ้านของครอบครัวโดโนแวนสร้างขึ้นที่โรงถ่ายของ Steiner Studios ในบรู๊กลินเช่นเดียวกับฉากอื่นๆ ส่วนฉากที่ FBI สะกดรอยตามรูดอล์ฟ เอเบิลบนรถไฟใต้ดินนั้นถ่ายทำกันในตู้รถไฟใต้ดินจริงจากยุค 60 ซึ่งพิพิธภัณฑ์ New York City Transit Museum ในบรู๊กลินจัดหามาให้ แต่การถ่ายทำรถไฟใต้ดินย้อนยุคจากชานชาลาสถานีให้ดูสมจริงนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยสิ้นเชิง และจำเป็นต้องถ่ายทำในระบบรถไฟใต้ดินที่ทำงานอยู่ โชคดีที่ Metropolitan Transportation Authority ของนิวยอร์กยินดีทำงานร่วมกับกองถ่าย โดยอนุญาตให้เข้าใช้สถานีรถไฟใต้ดินบรอดสตรีทในช่วงเช้าตรู่วันอาทิตย์
สต็อคฮาวเซนกล่าวว่า "เราต้องทำงานอย่างรวดเร็วอย่างที่ผมเรียกว่าเป็นการทำหนังแบบ 'สายฟ้าแลบ' ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนโปสเตอร์และป้าย เปลี่ยนดวงไฟ และตกแต่งทุกอย่างใหม่ทั้งหมด และแน่นอนว่าทุกอย่างต้องกลับคืนสู่สภาพเดิมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วย"
การถ่ายทำในยุโรปเริ่มต้นขึ้นที่เบอร์ลิน โดยใช้สนามบินเทมเพลฮอฟอันโด่งดังของเมืองนี้และสะพานกลีนิคเคออันมีชื่อเสียงซึ่งเป็นสถานที่จริงที่การแลกเปลี่ยนตัวระหว่างเอเบิลกับพาวเวอร์สเกิดขึ้น สะพานแห่งนี้แยกเบอร์ลินตะวันออกและเบอร์ลินตะวันตกออกจากกันในช่วงสงคราม แต่ปัจจุบันเป็นจุดเชื่อมระหว่างย่านแบรนเดนเบิร์กของเบอร์ลินกับย่านชานเมืองที่มีชื่อว่าพอทสดัม ทางเมืองต้องปิดใช้งานสะพานเพื่อการถ่ายทำซึ่งก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่ผู้อยู่อาศัยในบริเวณนั้น แต่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาเข้าใจดีด้วยเห็นถึงความสำคัญของสะพานในเรื่องนี้
ฉากที่ถ่ายทำบนสะพานต้องใช้ตัวประกอบและนักแสดงสตันท์จำนวนมาก รวมถึงการเก็บภาพทางอากาศได้อย่างน่าทึ่งด้วยฝีมือของผู้กำกับภาพที่ชนะรางวัลออสการ์สองครั้ง ยานุช คามินสกี ("Schindler's List", "Saving Private Ryan") และทีมงาน ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการเตรียมตัวนานหลายเดือนและจังหวะเวลาที่แม่นยำ
กองถ่ายยังได้เดินทางไปยังเมืองวรอทสวัฟในโปแลนด์ เมืองเล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเบอร์ลินห่างออกไปหลายชั่วโมง เมืองแห่งนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากสำคัญหลายฉากซึ่งถ่ายทอดภาพการสร้างกำแพงเบอร์ลิน สถาปัตยกรรมในเบอร์ลินยุคปัจจุบันแตกต่างจากเบอร์ลินตะวันออกช่วงปี 1961 อยู่มาก ดังนั้นวรอทสวัฟจึงได้รับเลือกให้มาเป็นตัวแทนของเบอร์ลิน เพราะเมืองนี้อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมอันเป็นผลจากปัญหาทางเศรษฐกิจและการปล่อยปละละเลยนานหลายปี แต่ให้ภาพที่คล้ายคลึงกับเมืองที่ได้รับความเสียหายจากสงคราม
การถ่ายทำเกิดขึ้นในช่วงประจวบเหมาะกับการครบรอบ 25 ปีของการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ปี 2014 โดยถือตามวันที่รัฐบาลเยอรมันตะวันออกยกเลิกข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างเยอรมนีตะวันออกและตะวันตก ผู้คนนับพันๆ มารวมตัวกันเพื่อรำลึกถึงโอกาสนี้ เป็นช่วงเวลาอันน่าประทับใจสำหรับนักแสดงและทีมงาน และเป็นเครื่องเตือนใจอันแจ่มชัดถึงความเลวร้ายของสงครามเย็น รวมถึงสภาพความรุนแรง การถูกสอดส่องจับตามอง และความยากไร้ที่ชาวเยอรมันตะวันออกต้องประสบ
เครื่องแต่งกาย
ในฐานะนักออกแบบเครื่องแต่งกาย คาเซีย วาลิคคา-ไมโมเน รับผิดชอบการถ่ายทอดยุคสมัยของเรื่องราวให้ถูกต้อง และใน "Bridge of Spies" เธอตระหนักทันทีว่าแฟชั่นจากช่วงปลายทศวรรษ 50 ถึงต้นยุค 60 นั้นแตกต่างจากเครื่องแต่งกายยุคปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด
"ผู้คนชอบแต่งองค์ทรงเครื่องกันในยุคปลาย 50 และ 60" วาลิคคา-ไมโมเนกล่าว "ส่วนใหญ่แล้วทั้งผู้ชายและผู้หญิงจะแต่งตัวเป็นทางการมากกว่าในปัจจุบัน ซึ่งหมายถึงการใส่สูทและสวมหมวกสำหรับผู้ชาย และการใส่ชุดเดรส สูท และกระโปรงสำหรับผู้หญิง"
เธอกล่าวต่อไปว่า "ลักษณะโครงสูทผู้ชายค่อนข้างแตกต่างออกไปโดยช่วงลำตัวและแขนเสื้อมีรูปทรงที่ไม่เหมือนปกติ กางเกงเป็นทรงหลวม และผ้าเป็นผ้าทอที่หนากว่ากันมาก"
เครื่องแต่งกายย้อนยุคที่นักแสดงตัวประกอบใส่ช่วยเสริมความรู้สึกที่ว่า ถึงแม้ฉากนั้นๆ จะมีชีวิตชีวาเหมือนเกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่แท้จริงแล้วเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในอดีตเมื่อนานมาแล้วแต่ยังคงเป็นที่จดจำได้ บางฉากใช้ตัวประกอบกว่า 300 คน ตั้งแต่ผู้ร่วมสังเกตการณ์และนักข่าวในศาลไปจนถึงผู้โดยสารบนรถไฟใต้ดินและคนเดินเท้าตามท้องถนน และในวันที่อากาศหนาว ทีมงานไม่เพียงต้องหาเสื้อผ้าให้ตัวประกอบเหล่านี้ แต่ยังรวมถึงเครื่องประดับตกแต่งอย่างหมวก ผ้าพันคอ ถุงมือ และเสื้อคลุมด้วย
ที่สำคัญไม่แพ้กันคือการตรวจสอบให้สีสันของเครื่องแต่งกายทั้งหมดตรงตามความเป็นจริงในยุคนั้น ฉากในนิวยอร์กใช้เครื่องแต่งกายที่มีสีสันมากกว่าเพื่อสื่อถึงโลกธุรกิจที่รุ่งเรืองของอเมริกาในยุคทศวรรษ 50 โดยผู้หญิงใส่ชุดสีเขียว แดงเข้ม และเหลืองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนผู้ชายใส่สีน้ำตาล เทา และกรมท่า ในเบอร์ลินสีสันจะน้อยกว่าและออกโทนขรึมหรือไม่มีสีสันเลย โดยแทบทุกอย่างเป็นสีดำและ/หรือเทาหม่นเพื่อสะท้อนบรรยากาศซึมเซาของเมืองในเวลานั้น
สตีเวน สปีลเบิร์ก
"ผู้กำกับทุกคนเป็นนักเล่าเรื่องด้วยภาพ แต่สิ่งที่ทำให้สตีเวนแตกต่างออกไปคือเขาซึมซับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัว" ผู้อำนวยการสร้างคริสตี มาคอสโก ครีกเกอร์กล่าว "สมองของสตีเวนทำงานตลอดเวลา และเขาสนใจการหาวิธีการเล่าเรื่องที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เขาใส่ความคิดและรายละเอียดมากมายมหาศาลลงไปในแต่ละฉาก เพราะเขาเข้าใจเนื้องานที่ได้จากทีมงานแต่ละคนและบทบาทของคนเหล่านั้นในการบอกเล่าเรื่องราว"
"เวลาที่คุณไปถึงกองถ่ายของสตีเวน ฉากได้รับการสร้างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่แค่ฉากที่จับต้องได้ แต่เป็นฉากในหัวของสตีเวนด้วย" ทอม แฮงค์สกล่าว "หน้าที่ของคุณคือทำให้ตรงตามที่เขาบอก แต่เขาก็คาดหวังให้คุณเพิ่มรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณคิดขึ้นมาได้ลงไปด้วย และเขาชอบเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว เร็วมากๆ เลย"
สก็อตต์ เชพเพิร์ด ("Side Effects") ซึ่งรับบทเป็นเจ้าหน้าที่ CIA ผู้เฉลียวฉลาดกล่าวว่า "สตีเวนใส่ใจนักแสดงของเขาด้วยใจจริง เขาเคารพในศาสตร์การแสดง และคอยมองหาหนทางที่จะสร้างเรื่องราวบนจอภาพยนตร์ด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุดและเป็นธรรมชาติที่สุดสำหรับนักแสดง คำแรกที่เขาพูดกับผมในกองถ่ายคือ 'ผมอยากให้ฮอฟฟ์แมนเป็นมากกว่าแค่เจ้าหน้าที่ธรรมดาๆ'"
"Bridge of Spies" เป็นงานแรกที่เอมี ไรอันได้ทำงานกับผู้กำกับรายนี้ และนับเป็นการเรียนรู้ครั้งสำคัญสำหรับเธอ "สตีเวนกระตือรือร้นในสิ่งที่เขาทำและส่งผ่านความรู้สึกนี้ไปยังคนอื่นๆ ด้วย มีหลายครั้งที่ฉันคอยสังเกตดูเขาเวลาทำงาน แล้วจู่ๆ ก็จะเห็นเขาทำตาโตเท่าไข่ห่าน ราวกับว่าเขาเป็นเด็กอายุ 12 ที่ยังทำหนังอยู่ในสวนหลังบ้านอย่างนั้นเลยล่ะค่ะ"
เธอเล่าต่อว่า "แต่นอกเหนือจากเป็นคนทำหนังที่เชี่ยวชาญมากแล้ว เขายังเปิดโอกาสให้ทีมงานฝ่ายอื่นๆ ได้ทำงานอย่างเต็มความสามารถอยู่ตลอดเวลา เขาเชื่อมั่นในตัวทีมงาน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คุณจะได้เห็นในหนังทุกเรื่องหรอกนะคะ กองถ่ายมีบรรยากาศสงบนิ่งเพราะทีมงานทุกคนรู้สึกมั่นใจในการทำงานที่ตัวเองถนัด จึงไม่มีใครมาคอยตั้งคำถามกับการตัดสินใจของทีมงาน สตีเวนให้อิสระแก่ทีมงานในการตัดสินใจค่ะ"
บางครั้งเรื่องจริงก็ยิ่งกว่านิยาย และสำหรับ "Bridge of Spies" เรื่องราวอันน่าทึ่งของคนธรรมดาที่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์อันไม่ธรรมดา ความน่าหลงใหลก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงๆ สถานการณ์ระหว่างประเทศในปัจจุบันก็มีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ช่วงสงครามเย็น และประเด็นที่คนทั่วโลกต่างสนใจในเวลานั้นและเป็นส่วนสำคัญในเรื่อง ก็ยังคงเป็นจริงและมีความสำคัญอยู่ในทุกวันนี้
ด้วยการสำรวจน่านน้ำอันไม่คุ้นเคยของเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองระหว่างประเทศที่มีเดิมพันสูง เจมส์ โดโนแวน รับมือกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีด้วยความถ่อมตนที่สอดคล้องกับการกระทำอันกล้าหาญ เขากลายเป็นวีรบุรุษภาคพลเรือนที่ไม่ได้รับการกล่าวขวัญถึง และในระหว่างนั้นก็ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เรื่องราวและภาพยนตร์อันทรงพลังอย่างยิ่ง
"Bridge of Spies" ออกฉายตามโรงภาพยนตร์ในวันที่ 21ตุลาคม 2015
https://www.facebook.com/BridgeOfSpiesThailand
https://www.youtube.com/watch?v=PIYrwHjHZss&list=PLhHUMbo06EofKLCmpVT3D54PmNXsm_j0F