กรุงเทพฯ--20 ต.ค.--ธนาคารไทยพาณิชย์
ธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศผลกำไร (ก่อนสอบทาน) ประจำไตรมาสที่ 3/2558 จำนวน 9,018 ล้านบาท – ลดลงประมาณ 32% จากไตรมาสที่ 3/2557 ซึ่งกำไรที่ลดลงนี้เป็นผลมาจากการการตั้งสำรองที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพื่อรองรับผลกระทบจากลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่จำนวน 2 ราย (บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI และ บริษัทลูกในประเทศอังกฤษซึ่งอยู่ระหว่างการพิทักษ์ทรัพย์ คือบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี ประเทศอังกฤษ หรือ SSI UK) ซึ่งถูกจัดชั้นเป็นสินเชื่อด้อยคุณภาพในไตรมาสที่ 3/2558 รวมถึงรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงจากการปรับรายการดอกเบี้ยค้างรับที่รับรู้เป็นรายได้แล้วจากลูกค้าทั้งสองรายดังกล่าว ทั้งนี้ ผลกำไรที่ลดลงในครั้งนี้ได้รับการทดแทนด้วยกำไรจำนวนมากจากการขายหุ้นสามัญในพอร์ตการลงทุนของธนาคารฯ ซึ่งหากไม่คิดรวมผลกระทบจาก SSI และ SSI-UK ธนาคารฯ จะมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ในระดับเดียวกันกับในปีที่ผ่านมา ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) มีอัตราการเพิ่มขึ้นปานกลาง
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวถึงผลประกอบการในไตรมาสนี้ว่า "ผลกำไรที่ลดลงในครั้งนี้เกิดจากการที่ธนาคารฯ ดำเนินการตั้งสำรองเต็มจำนวนเพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์ของ SSI ซึ่งธนาคารฯ เห็นว่าเป็นหลักการที่รอบคอบและระมัดระวังอย่างดีที่สุดเมื่อคำนึงถึงสถานะของ SSI และ SSI-UK ทั้งนี้ ภาวะความผันผวนอย่างรุนแรงของอุตสาหกรรมเหล็กโลกในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นเรื่องที่เกินการคาดหมาย ในขณะที่ SSI เข้าซื้อกิจการโรงถลุงเหล็กประเทศอังกฤษในปี 2554 อย่างไรก็ตาม สำหรับในอนาคตนั้น คณะกรรมการและผู้บริหารของธนาคารฯ มีความเชื่อมั่นว่าโครงการการปรับปรุงเพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้าที่ธนาคารฯ กำลังดำเนินการอยู่เพื่อยกระดับประสิทธิภาพธุรกิจพื้นฐานของธนาคารฯ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับความสามารถในการทำกำไรในอนาคตได้ดียิ่งขึ้นและสร้างความยั่งยืนให้กับธนาคารต่อไป"
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ลดลง 3.7% ในไตรมาสนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว รายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงมีสาเหตุหลักมาจากการปรับรายการดอกเบี้ยค้างรับที่รับรู้เป็นรายได้แล้วของ SSI และ SSI-UK และจากรายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อระหว่างธนาคารและตลาดเงินที่ลดลง รายได้ที่ลดลงในครั้งนี้บางส่วนได้รับการชดเชยด้วยรายจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลง ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดและกลยุทธ์ของธนาคารฯ ในการลดค่าใช้จ่ายทางด้านเงินฝากเมื่อเทียบกับธนาคารอื่นๆ หากไม่คิดรวมผลกระทบจาก SSI และ SSI-UK ธนาคารฯ จะมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในระดับเดียวกับในปีที่ผ่านมา
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 75.3% ในไตรมาสนี้ จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เหตุผลหลักเนื่องมาจากการรับรู้รายได้จากการขายหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงมาก เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ ธนาคารฯ ได้ขายหุ้นสามัญจากพอร์ตการลงทุนของธนาคารฯ ออกไป และรับรู้เป็นกำไรจำนวน 7,700 ล้านบาท หากไม่รวมกำไรจำนวนนี้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาสนี้จะเพิ่มขึ้นโดยพอประมาณที่ 5.1% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ในช่วงก่อนหน้าของปีนี้ ธนาคารฯ ได้มีการทบทวนปรับอัตราการกันสำรองหนี้สงสัยจะสูญสำหรับครึ่งปีหลังของปี 2558 ไว้ที่ประมาณ 100-110 bps (หรือประมาณ 1-1.1%) ของยอดสินเชื่อคงค้างทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการคาดการณ์ถึงเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ชะลอตัวท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอน ซึ่งอาจทำให้สินเชื่อด้อยคุณภาพใหม่เกิดขึ้นสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้ หลังจากการปิดตัวลงของ SSI-UK และต้องอยู่ภายใต้คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นั้น ทำให้ SSI-UK กลายเป็นสินเชื่อด้อยคุณภาพ และหลักทรัพย์ค้ำประกันถูกกำหนดมูลค่าเป็นศูนย์ด้วย ซึ่งการผิดนัดชำระ หนี้ดังกล่าว ได้ส่งผลต่อ SSI ให้ต้องร่วมรับผิดชอบการชำระหนี้ และทำให้มูลค่าของหลักประกันลดลง ธนาคารฯ จึงตัดสินใจที่จะตั้งสำรองเพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญเป็นจำนวน 1.1 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับกรณีของ SSI และ SSI-UK ไว้ทั้งหมด ซึ่งเป็นจำนวนเพิ่มเติมจากเงินสำรองปกติจำนวน 5 พันล้านบาทที่ตั้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้ไตรมาสนี้ ธนาคารฯ มีจำนวนเงินสำรองเพิ่มเป็น 1.6 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 400% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3/2557 จำนวน 3,222 ล้านบาท
ผลจากการที่ SSI และ SSI-UK ได้รับการจัดเป็นหนี้ด้อยคุณภาพนั้น ทำให้อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารฯ เพิ่มขึ้นเป็น 3.02% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 จากเดิม 2.11% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 และ 2.22% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 และเนื่องจากสินเชื่อของ SSI-UK ได้รับการตั้งสำรองเอาไว้ทั้งหมดโดยกำหนดมูลค่าหลักประกันเป็นศูนย์ ธนาคารฯ จึงทำการจำหน่ายหนี้สูญลูกหนี้รายนี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน พร้อมกันนี้ ระดับสำรองเพื่อการรองรับหนี้ด้อยคุณภาพโดยไม่รวมหลักทรัพย์ค้ำประกันลดลง จาก 140.4% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 และ 134.8% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 มาเป็น 100.8% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558
นายญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า "แม้ว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 3 จะลดลง แต่คณะผู้บริหารและพนักงานก็ยังมีความมุ่งมั่นที่จะนำพาธนาคารฯ ให้สร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่งได้ต่อไปในอนาคต ซึ่งจะบรรลุผลได้จากความแข็งแกร่งของธนาคารฯ ทางด้านธุรกิจพื้นฐานที่ดำเนินงานในปัจจุบันและการผลักดันการเติบโตของธุรกิจในอนาคตจากการขับเคลื่อนธุรกิจแนวใหม่ที่กำลังริเริ่มอยู่ ณ ขณะนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ธนาคารฯ มีความเชื่อมั่นว่าสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่เหลืออยู่ในปัจจุบันยังคงมีพื้นฐานที่ดี และเราหวังว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนผู้ถือหุ้นได้ตามเป้าหมายในอนาคตโดยการสร้างผลงานที่ดีเยี่ยมในทุกกลุ่มลูกค้าด้วยความสามารถของพนักงานที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างแท้จริง"
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศที่ให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร ก่อตั้งขึ้นโดยพระบรมราชานุญาตในปี พ.ศ. 2449 โดยเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 ธนาคารมีมูลค่าตลาดรวม (Market Capitalization) สูงเป็นอันดับที่ 1 ในกลุ่มสถาบันการเงิน (455.6 พันล้านบาท) มีเครือข่ายสาขาและจุดให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ (สาขารวมทั้งสิ้น 1,203 สาขา ศูนย์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 104 แห่ง เครื่องเอทีเอ็ม 10,044 เครื่อง) เพื่อให้บริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ลูกค้าธุรกิจขนาดกลาง/ขนาดย่อม และลูกค้าบุคคลด้วยขนาดสินทรัพย์ 2,762 พันล้านบาท สามารถเรียกดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.scb.co.th