กรุงเทพฯ--21 ต.ค.--บลจ.กสิกรไทย
นายพงศ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยถึงภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ว่าตลาดมีความผันผวนเนื่องจากได้รับแรงกดดันจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ อาทิ ความกังวลต่อเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดไว้ ความผันผวนของตลาดหุ้นจีน รวมถึงความไม่ชัดเจนต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ทั้งนี้คาดว่าระยะเวลาที่เหลือในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ดัชนีหุ้นไทยจะยังแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากยังขาดปัจจัยใหม่ๆที่เข้ามาสนับสนุน โดยบริษัทยังคงมุมมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2558 ที่ระดับ 1,400 – 1,450 จุด ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน Forward P/E ในปี 2559 ที่ระดับ 13.5 เท่า
อย่างไรก็ตาม ด้วยมุมมองการลงทุนในระยะกลางถึงยาว บลจ.กสิกรไทยมองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ โดยคาดการณ์ว่าในปีหน้า ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสเติบโตขึ้นได้อีกประมาณ 15.5% จากระดับปัจจุบัน และตั้งเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2559 ไว้ที่ระดับ 1,600 จุด ด้วยอัตราส่วน Forward P/E ที่ระดับ 15 เท่า โดยคาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในโครงการของภาครัฐที่น่าจะเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น ภายหลังจากที่มีความล่าช้ามาเกือบปี ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ทั้งนี้ปัจจัยที่ต้องจับตามองหลังจากนี้ คือการติดตามผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลที่คาดว่าจะเริ่มส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปี 2559 เป็นต้นไป รวมถึงการประมูลคลื่น 4G ซึ่งหากดำเนินการได้อย่างรวดเร็วจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร (ICT) ซึ่งคาดว่าน่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากกว่า 2 แสนล้านบาทขึ้นไป ขณะที่ปัจจัยบวกภายนอกประเทศ ยังคงได้รับมาจากสภาพคล่องในระบบการเงินโลกที่ยังอยู่ในระดับสูงจากการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางใหญ่ๆ ของโลก อาทิ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน แต่มีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือกรณีการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งตอนนี้ตลาดส่วนใหญ่เชื่อว่า FED น่าจะมีการเลื่อนปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไปเป็นปีหน้า รวมถึงการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของจีน ซึ่งอาจส่งผลทำให้ตลาดมีความผันผวนได้ในระยะสั้น
บลจ.กสิกรไทย จึงแนะนำให้ผู้ลงทุนอาศัยช่วงที่ระดับราคาหุ้นยังมีความน่าสนใจนี้ สามารถทยอยเข้าซื้อกองทุน LTF และ RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเพิ่มเติม เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว พร้อมทั้งการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งบลจ.กสิกรไทยมีกองทุน LTF/RMF หลากหลายนโยบายครอบคลุมทุกความต้องการของผู้ลงทุน โดยกองทุนที่แนะนำและมีผลการดำเนินงานที่น่าสนใจ ได้แก่ กองทุนเปิดเค 20 ซีเล็คท์หุ้นระยะยาวปันผล (K20SLTF) ซึ่งจะเน้นลงทุนในหุ้นเด่นที่มีศักยภาพสูง ไม่เกิน 20 ตัว และมีผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2558 โดยให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 2.28% และย้อนหลัง3 ปี อยู่ที่ 14.18% ด้านกองทุนเปิดเค 70:30 หุ้นระยะยาวปันผล (K70LTF) ซึ่งจะเน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีไม่เกิน 70% ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ -3.49% และย้อนหลัง3 ปี อยู่ที่ 11.41% โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานดัชนี SET ซึ่งให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีและ 3 ปี อยู่ที่ -7.06% และ 10.17% ตามลำดับ
นายพงศ์พิเชษฐ์กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยังได้นำเสนอทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทย กับกองทุน ของบลจ.กสิกรไทยซึ่งมีหลากหลายนโยบายการลงทุน อาทิ กองทุนเปิดเค หุ้นทุน (K-EQUITY) ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยกระจายการลงทุนในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม, กองทุนเปิดเค สตาร์หุ้นทุนคืนกำไร (K-STAR) ซึ่งมีนโยบายลงทุนระยะสั้นถึงปานกลางในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีจุดเด่นโดยจะทำการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเมื่อมีกำไรถึงจุดที่กำหนด และกองทุนเปิดเค สตราทีจิค เทรดดิ้ง หุ้นทุน (K-STEQ) ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีจุดเด่นโดยจะมีการซื้อขายทำกำไรตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม และสามารถลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กบางส่วน เพื่อช่วยสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม
ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุน LTF-RMF กองทุน K-EQUITY กองทุน K-STAR และกองทุน K-STEQ ของ บลจ. กสิกรไทย สามารถขอรับหนังสือชี้ชวน และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888
กองทุน 3 เดือน 6 เดือน ตั้งแต่ต้นปี 1 ปี 3 ปี
K20SLTF 1.29% -5.23% 0.97% 2.28% 14.18%
K70LTF -2.32% -5.02% -2.83% -3.49% 11.41%
เกณฑ์มาตรฐาน (SET Index) -4.25% -9.66% -5.29% -7.06% 10.17%
ที่มา: บลจ.กสิกรไทย, ข้อมูล ณ วันที่ 16 ต.ค. 58
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต