กรุงเทพฯ--22 ต.ค.--ปตท.สผ.
ปริมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ย 328,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5จากช่วงเดียวกันปี 2557 ในขณะที่ราคาขายปรับลดตามราคาน้ำมันในตลาดโลก
เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและปรับลดค่าใช้จ่ายได้ตามเป้าหมาย โดยปรับลดค่าใช้จ่ายรวมต่อบาร์เรลที่ขาย (unit cost) ได้ร้อยละ 5
แหล่งเบอร์ซาบา โครงการแอลจีเรีย 433 เอ และ 416 บี จะเริ่มขายน้ำมันดิบในไตรมาส 4 ปี 2558
นายสมพร ว่องวุฒิพรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. กล่าวว่า "ผลการดำเนินงานปกติของบริษัทยังถือว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยมีปริมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ยในช่วง 9 เดือนแรกปี 2558 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเพียงพอที่จะใช้ในการลงทุนตามแผนงานเพื่อรักษาระดับการผลิตปิโตรเลียม ในขณะที่ยังมีเงินสดในมือกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับรองรับโอกาสการเข้าซื้อกิจการที่เหมาะสม นอกจากนี้ แหล่งเบอร์ซาบา ในประเทศแอลจีเรีย จะสามารถจำหน่ายน้ำมันดิบได้ไตรมาส 4 ซึ่งขณะนี้โครงการได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการทดสอบระบบการผลิตแล้ว"
ทั้งนี้ สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2558 ปตท.สผ. มีรายได้รวมจากการดำเนินงาน 4,440 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงเมื่อเทียบกับ 5,989 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในช่วง 9 เดือนของปี 2557 จากราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงจาก 66 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เหลือ 47 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลง โดยบริษัทยังคงมีกำไรจากการดำเนินงานตามปกติ (recurring net profit) 705 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจาก 1,355 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2557 ทั้งนี้การที่บริษัทยังสามารถมีกำไรจากการดำเนินงานปกติได้ ส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวมต่อบาร์เรลที่ขาย (unit cost) ลดลงร้อยละ 5 เทียบกับช่วง 9 เดือนของปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ในงวด 9 เดือนปี 2558 บริษัทมีการบันทึกค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานปกติ (Non-Recurring) โดยเป็นการบันทึกตามมาตรฐานบัญชี ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ส่งผลกระทบกับกระแสเงินสดของบริษัท เป็นจำนวนรวม 1,691 ล้านดอลลาร์ สรอ. ประกอบด้วยรายการหลักๆ ดังนี้
การตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ (impairment loss) จำนวน 1,385 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างต่อเนื่องมีผลให้มูลค่ายุติธรรม (fair value) ของสินทรัพย์ลดลง
ค่าใช้จ่ายทางภาษีรอการตัดบัญชีและภาษีอื่นๆ จำนวน 316 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่องจาก 34 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. เมื่อต้นปีเป็น 36.4 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.
กำไรจากการทำสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน (hedging) จำนวน 50 ล้านดอลลาร์ สรอ.
ส่งผลให้ในงวด 9 เดือนปี 2558 ปตท.สผ. มีผลดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 986 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดย ณ 30 กันยายน 2558 ปตท.สผ. มีสินทรัพย์รวม 20,150 ล้านดอลลาร์ สรอ. มีส่วนของทุน 11,203 ล้านดอลลาร์ สรอ. และมีภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ย 3,277 ล้านดอลลาร์ สรอ.
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3 บริษัทมีรายได้รวมจากการดำเนินงาน 1,512 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้ 1,486 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 264 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจาก 194 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจากทั้งโครงการในประเทศไทย และโครงการในประเทศเมียนมาร์ รวมถึงมีค่าใช้จ่ายรวมต่อบาร์เรลที่ขาย (unit cost) ที่ลดลงจากไตรมาสที่แล้วถึงร้อยละ 8 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากโครงการลด ละ เลื่อน (SAVE to be SAFE) แต่เมื่อรวมรายการจากการบันทึกค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติ (non-recurring) โดยเฉพาะการบันทึกการด้อยค่าสินทรัพย์ในไตรมาสนี้ ส่งผลให้ ปตท.สผ. บันทึกผลขาดทุนสุทธิ 1,284 ล้านดอลลาร์ สรอ.
"สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ตกต่ำในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อบริษัทน้ำมันทั่วโลก หลายบริษัทต้องบันทึกการด้อยค่าสินทรัพย์ในโครงการลงทุนต่างๆ ปตท.สผ. ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันตามที่ปรากฏในผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ทั้งนี้การด้อยค่าสินทรัพย์เป็นการปรับมูลค่าสินทรัพย์ให้สะท้อนกับสถานการณ์ปัจจุบัน และแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสและธรรมาภิบาลของบริษัท และหากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต สินทรัพย์จะมีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีซึ่งจะสะท้อนผ่านผลกำไรที่ดียิ่งขึ้น" นายสมพร กล่าว
สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันในระยะสั้น บริษัทมองว่าจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากยังคงมีอุปทานส่วนเกินในตลาด โดยที่ปัจจัยกดดันราคามีโอกาสจะคลี่คลาย หากเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนกลับมาฟื้นตัว รวมถึงปริมาณการผลิตจากสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าว บริษัทจึงยังคงมุ่งเน้นแผนการลดต้นทุนการดำเนินงาน ทั้งในส่วนของเงินลงทุน และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน นอกจากนี้บริษัทยังได้จัดทำแผนจำลองสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบและอัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับราคาต่างๆ เพื่อจัดเตรียมแผนการบริหารความเสี่ยงให้มีความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์อีกด้วย
นายสมพรกล่าวเสริมในตอนท้ายว่า "อย่างไรก็ดีในสภาวะราคาน้ำมันตกต่ำนั้น อาจจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับปตท.สผ. ซึ่งมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง ในการเข้าซื้อกิจการในราคาที่เหมาะสม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นได้เช่นกัน ซึ่งขณะนี้บริษัทยังคงมองหาโอกาสทางธุรกิจ โดยมุ่งเน้นโครงการที่กำลังจะผลิต หรือที่ผลิตแล้ว ในแถบประเทศเพื่อนบ้าน และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"