กรุงเทพฯ--26 ต.ค.--กลุ่มประชาสัมพันธ์ กระทรวงวัฒนธรรม
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ เปิดเผยภายหลังประชุมว่า ได้รายงานความคืบหน้าการจัดทำรายละเอียดโครงการ งบประมาณและแผนปฏิบัติการภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560-2564) เพื่อนำเสนอขอความเห็นชอบจาก ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยขณะนี้แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งรายละเอียดโครงการและงบประมาณ เพื่อรวบรวมจัดทำแผนปฏิบัติการภายใต้ยุทธศาสตร์ฯแล้ว ล่าสุดหลายหน่วยงานส่งข้อมูลมาแล้ว โดยกำลังเร่งจัดทำแผนปฏิบัติการภายใต้ยุทธศาสตร์ฯ คาดว่าภายในเร็วๆนี้แล้วเสร็จ
พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวต่อว่า ความคืบหน้าจัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบในการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์นั้น ได้รับรายงานว่าได้ปรับปรุงเอกสารเสนอขอจัดตั้งหน่วยงานที่จะรับผิดชอบ ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ฉบับสมบูรณ์ เพื่อเตรียมการนำเสนอต่อคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ จากนั้นเสนอให้ ครม. พิจารณาเห็นชอบนั้น ขณะนี้ฝ่ายเลขานุการฯประสานส่งเอกสารคำขอจัดตั้งองค์การมหาชน ในการดูแลการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และ วีดิทัศน์ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ที่รับผิดชอบดูแลกระทรวงวัฒนธรรมช่วยพิจารณาเสนอแนะ การแก้ไขปรับปรุงเอกสารฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.พ.ร.
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบให้ฉายภาพยนตร์สั้นเรื่อง"รถไฟขบวนที่ 12...จุดหมายแห่งความยั่งยืน" ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี เพื่อนำไปเผยแพร่สู่สาธารณชน อาทิ สื่อโทรทัศน์ โรงภาพยนตร์ และ Social Media นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบรายชื่อภาพยนตร์ที่จะจัดฉายในเทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศ 2 เทศกาล ตามที่คณะอนุกรรมการเทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศเสนอ ได้แก่ เทศกาลภาพยนตร์สเปน 2558 วันที่ 5-8 พฤศจิกายน จำนวน 5 เรื่อง และเทศกาลภาพยนตร์เพื่อยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก วันที่ 26-29 พฤศจิกายน จำนวน 9 เรื่อง ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯ ได้ประชุมพิจารณาเรื่องย่อและใบปิดภาพยนตร์แล้วเห็นว่าภาพยนตร์ทุกเรื่องดังกล่าว ไม่มีเนื้อหาที่เป็นการบ่อนทำลาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐและเกียรติภูมิของประเทศ หรืออาจกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ