กรุงเทพฯ--2 พ.ย.--ทริสเรทติ้ง
ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตเบื้องต้นที่ระดับ "AA-(sf)" ให้แก่หุ้นกู้มีประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้นอายุ 5 ปี ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท (หุ้นกู้มีประกัน) ของ บริษัท นิติบุคคลเฉพาะกิจ บตท. (8) จำกัด (ผู้ออกตราสาร หรือเอสพีวี) โดยเอสพีวีจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้มีประกันในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทนี้พร้อมทั้งเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิไปใช้ซื้อสิทธิเรียกร้องในค่างวดตามสัญญากู้เงินเพื่อที่อยู่อาศัย (กองสินทรัพย์) จากบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) ซึ่งเป็นผู้เสนอโครงการ ขนาดมูลค่าของหุ้นกู้ด้อยสิทธิจะคิดเป็นประมาณ 25%-30% ของมูลค่ารวมของหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ตราสารดังกล่าวเป็นตราสารทางการเงินที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยหนุนหลังชุดที่ 4 ของ บตท. ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิต ทั้งนี้ หุ้นกู้มีประกันดังกล่าวได้รับการค้ำประกันอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้โดย บตท. ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ "AA-" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" จากทริสเรทติ้ง
อันดับเครดิตเบื้องต้นของหุ้นกู้มีประกันดังกล่าวสะท้อนความน่าเชื่อถือของ บตท. ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน โดย บตท. มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจประเภทสถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง อันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนถึงการมีหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ถือโดย บตท. ด้วย โดยหุ้นกู้ด้อยสิทธิมีสถานะที่ด้อยกว่าหุ้นกู้มีประกันและเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้มีประกัน นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีปัจจัยสนับสนุนจากเงินกู้ยืมที่ บตท. จะให้แก่เอสพีวีเพื่อเสริมสภาพคล่องและหน้าที่ในการซื้อกองสินทรัพย์คงเหลือคืนจากเอสพีวี ณ วันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะตกเป็นภาระของ บตท. ด้วย โดยอันดับเครดิตเบื้องต้นแสดงถึงการที่ผู้ถือหุ้นกู้มีประกันจะได้รับชำระคืนหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ครบถ้วนตามกำหนด
เอสพีวีเป็นนิติบุคคลเฉพาะกิจซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศไทยและคาดว่าจะมีการกำหนดคุณสมบัติให้เป็นไปตามพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 ต่อไป ผู้ถือหุ้นของเอสพีวีประกอบด้วย บตท. ซึ่งถือหุ้น 49% บริษัท บริการดี จำกัด ซึ่งถือหุ้น 48% และบุคคลธรรมดาซึ่งถือหุ้น 3% ในช่วงแรกของโครงการ เอสพีวีจะออกหุ้นกู้มีประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้นในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทและหุ้นกู้ด้อยสิทธิในวงเงินประมาณ 25%-30% ของมูลค่ารวมของหุ้นกู้ที่ออกทั้งหมด โดยหุ้นกู้มีประกันจะเสนอขายให้แก่นักลงทุน ในขณะที่หุ้นกู้ด้อยสิทธิจะถือโดย บตท. ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้จะนำไปใช้ซื้อสิทธิเรียกร้องในค่างวดตามสัญญากู้เงินเพื่อที่อยู่อาศัยจากผู้เสนอโครงการหรือ บตท. โดยสิทธิในหลักประกัน รวมทั้งสัญญาจำนอง และกรมธรรม์ที่มาพร้อมกับสินเชื่อนั้นจะโอนให้แก่เอสพีวี ณ เวลาเริ่มต้นโครงการด้วย
จากข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2558 กองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (รวมสินเชื่อเพื่อการตกแต่ง และสินเชื่อเพื่อการค้ำประกัน) ประกอบด้วยลูกหนี้สัญญาเงินกู้จำนวน 2,189 รายที่ บตท. ซื้อมาจากผู้ขาย คือธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีมูลค่าเงินต้นคงเหลือจำนวน 6,551.95 ล้านบาทและมีมูลค่าทางบัญชี 6,774.29 ล้านบาท ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่มีการจ่ายชำระคืนหนี้ก่อนกำหนดและไม่มีการผิดนัดชำระหนี้ เงินค่างวดที่จะได้รับจากกองสินทรัพย์จะอยู่ที่ประมาณ 43.35 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเอสพีวีจะต้องจัดสรรเงินค่างวดดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้มีประกันจำนวนประมาณ 22.5 ล้านบาทต่อเดือน โดยเงินที่จัดสรรดังกล่าวจะประกอบด้วยส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยของหุ้นกู้ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของกองสินทรัพย์อยู่ที่ประมาณ 4.42% และอายุเฉลี่ยของลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงเหลืออยู่ที่ 23.28 ปี
ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้ง หากอัตราการจ่ายชำระคืนหนี้ก่อนกำหนดของกองสินเชื่ออยู่ที่ 3% ต่อปีและอัตราการผิดนัดชำระหนี้กำหนดไว้ที่ 2.5% ในปีแรกและเพิ่มขึ้น 10% ทุกปี (หรืออัตราการผิดนัดชำระหนี้อยู่ในระดับไม่เกิน 12.3% ของมูลค่ากองสินทรัพย์ในระยะ 5 ปี) กระแสเงินสดจากกองสินทรัพย์ก็จะยังคงเพียงพอที่จะใช้ชำระภาระผูกพันรวมถึงเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของเอสพีวี ตลอดอายุโครงการได้ อย่างไรก็ดี ณ วันสิ้นสุดโครงการ บตท. จะต้องรับซื้อคืนสิทธิเรียกร้องคงเหลือทั้งหมดกลับไปจากเอสพีวี เพื่อให้เอสพีวีสามารถไถ่ถอนหุ้นกู้มีประกันคงเหลือได้ครบถ้วนตามกำหนด โดย ณ วันสิ้นสุดอายุหุ้นกู้มีประกัน มูลค่าเงินต้นคงเหลือของหุ้นกู้มีประกันจะอยู่ที่ประมาณ 4,400-4,500 ล้านบาท หรือประมาณ 90% ของมูลค่าเริ่มต้นหุ้นกู้มีประกันดังกล่าว ทั้งนี้ มูลค่าของหุ้นกู้มีประกันคงเหลือจะขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้มีประกัน
บตท. จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้ของโครงการนี้ด้วย โดย บตท. เคยเป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้ให้แก่โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ของ บตท. ที่ผ่านมา ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงเชื่อว่า บตท. จะสามารถทำหน้าที่ให้บริการเป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้ของโครงการนี้ได้ โดยเงินค่างวดที่ได้รับในแต่ละเดือนจะนำเข้าบัญชีของ บตท. ก่อนและจะโอนเข้าบัญชีของเอสพีวี ณ ทุกสิ้นเดือน ทั้งนี้ ความเสี่ยงที่เงินรายได้ของเอสพีวีจะปะปนกับเงินของ บตท. นั้นไม่น่าเป็นประเด็นกังวลเนื่องจาก บตท. จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการนี้ด้วย โดยตามสัญญาการให้การสนับสนุนทางการเงินระหว่าง บตท. และเอสพีวีนั้น บตท. ตกลงจะให้เงินกู้ยืมแก่เอสพีวีในกรณีที่เอสพีวีไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะชำระหนี้ในแต่ละงวดตลอดอายุของหุ้นกู้ได้ นอกจากนี้ ภายใต้สัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง บตท. ตกลงจะซื้อคืนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวโดยราคาซื้อคืนสิทธิเรียกร้องจะเป็นราคาระหว่าง (1) มูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์รวมดอกเบี้ยค้างชำระ หรือ (2) มูลค่าเงินต้นและดอกเบี้ยค้างชำระของหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิซึ่งรวมภาระผูกพันต่าง ๆ ของเอสพีวีหลังจากที่หักด้วยเงินสดคงเหลือในบัญชีสำรองของเอสพีวีแล้ว ซึ่งแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า เอสพีวีจะนำเงินที่ได้จากการขายคืนสิทธิเรียกร้องไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ซึ่งหากยังมีส่วนที่ขาดอยู่ บตท. ก็จะรับชำระให้ตามสัญญาค้ำประกัน
หุ้นกู้มีประกันภายใต้โครงการนี้จะมีการทยอยชำระคืนเงินต้นตลอดอายุหุ้นกู้ประมาณ 10% ดังนั้น การชำระคืนเงินต้นทั้งหมดในวันที่ครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้จะขึ้นอยู่กับความสามารถของ บตท. ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันในการที่จะซื้อคืนสิทธิเรียกร้องคงเหลือทั้งหมดกลับไป นอกจากนี้ ตลอดอายุของหุ้นกู้มีประกัน บตท. ยังตกลงที่จะให้เงินกู้ยืมแก่เอสพีวีในกรณีที่เอสพีวีขาดสภาพคล่องอีกด้วย ดังนั้น อันดับเครดิตของหุ้นกู้มีประกันจึงจะเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตของผู้ค้ำประกัน
บริษัท นิติบุคคลเฉพาะกิจ บตท. (8) จำกัด (SPV-SMC (8))
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
หุ้นกู้มีประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้นในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 AA-(sf)