กรุงเทพฯ--2 พ.ย.--ทริปเปิล เจ คอมมิวนิเคชั่น
ก.พลังงาน เผย ราคาน้ำมันขายปลีกไทยมีแนวโน้มทรงตัว แต่ยังมีโอกาสลดลง ชี้การผลิตน้ำมันดิบโลก 96.76 ล้านบาร์เรลต่อวัน ยังเกินความต้องการใช้ที่ระดับ 95.17 ล้านบาร์เรลต่อวัน คาดแนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบไม่เกิน 55-60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และอาจมีปัจจัยบวกจากอิหร่านกลับมาส่งออกน้ำมันดิบได้อีกครั้งหลังถูกเลิกคว่ำบาตร ย้ำโลกโซเชี่ยลอย่าเชื่อข้อมูลผิด ชี้ไทยและมาเลเซีย โครงสร้างราคาน้ำมันต่างกันจากภาษีต่างๆ และมาเลเซียยังมีการอุดหนุนราคาในประเทศ
นายชวลิต พิชาลัย รองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์และทิศทางราคาน้ำมันของกระทรวงพลังงาน พบว่า ในปัจจุบันและมีโอกาสไปจนถึงช่วงเดือนพฤศจิกายน 2558 นี้ ราคาน้ำมันขายปลีกของไทยมีแนวโน้มที่ราคาจะอยู่ในระดับทรงตัว และหากไม่มีกรณีฉุกเฉิน เช่น การเกิดสงครามในประเทศซีเรียอย่างรุนแรง คาดว่าราคาน้ำมันขายปลีกอาจยังมีโอกาสปรับตัวลดลงได้ ทั้งในกลุ่มราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ และน้ำมันดีเซลซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงสำคัญในภาคขนส่งและต่อภาคอุตสาหกรรม โดยน่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการจะกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันน่าจะไม่มีราคาสูงมากนัก มาจากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ที่มีผลกระทบต่อราคาขายปลีกในประเทศไทย โดยราคาน้ำมันดิบโดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบดูไบจะมีราคาอยู่ระหว่างประมาณ 55 -60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และจากรายงานของทบวงพลังงานโลก (IEA) (เดือนกันยายน 58) พบว่าข้อมูลการผลิตน้ำมันโลก (Supply) ยังมีอยู่ระดับ 96.76 ล้านบาร์เรลต่อวัน ยังคงเกินกว่าความต้องการใช้ (Demand) ที่ระดับ 95.17 บาร์เรลต่อวัน รวมทั้งปัจจัยบวกที่หากอิหร่านสามารถส่งออกน้ำมันได้เพิ่มอีกหลังจากถูกคว่ำบาตร ก็เชื่อว่าสถานการณ์โลกยังน่ามีแนวโน้มทรงตัวต่อไปอีกระยะ
นายชวลิต กล่าวเพิ่มว่า จากการส่งต่อข้อมูลเปรียบเทียบราคาน้ำมันขายปลีกของไทย และประเทศมาเลเซีย ผ่านทางโซเชี่ยลมีเดีย และมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นราคาที่บริษัทน้ำมันของไทยเอาเปรียบผู้บริโภคนั้น กระทรวงพลังงานขอให้ประชาชนที่ได้รับการส่งต่อข้อความลักษณะนี้ โปรดใช้วิจารณญาณการรับสื่อและอย่าหลงเชื่อ เพราะเป็นการส่งต่อข้อมูลที่มีความบิดเบือนจากข้อเท็จจริง โดยเบื้องต้น ราคาน้ำมันของประเทศมาเลเซีย และไทย แม้จะมีพื้นฐานราคาตั้งต้นใกล้เคียงกัน แต่รัฐบาลมาเลเซียยังมีการอุดหนุนราคาขายปลีกจำหน่ายหน้าสถานีบริการอยู่ ขณะที่ไทยได้มีนโยบายแน่ชัดในการปรับโครงสร้างราคาเชื้อเพลิง และได้ทยอยยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมันขายปลีกตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา
รวมทั้ง เหตุผลสำคัญที่ประเทศไทยได้กำหนดโครงสร้างภาษีต่างๆ ในราคาน้ำมันขายปลีก ซึ่งจากข้อมูลที่ส่งต่อกันจะเปรียบเทียบราคาเบนซิน 95 ซึ่งถือเป็นกลุ่มน้ำมันที่มีการเรียกเก็บภาษีและกองทุนน้ำมันสูงถึง 14.75 บาทต่อลิตร และหากประเทศไทยจะยกเลิกไม่เรียกเก็บภาษีใดๆ เลย จะเกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจมากกว่าผลดี คือ รัฐบาลต้องสูญเสียรายได้มหาศาล พลังงานทดแทนจะไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง และประชาชนก็จะใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ