กรุงเทพฯ--2 พ.ย.--สมาคมปศุสัตว์
แม้ว่าไทยจะยังอยู่นอกกลุ่ม ทีพีพี (TPP) หรือความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก กับ 12 ประเทศแถบมหาสมุทรแปซิฟิก ที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวเรือใหญ่ ทำให้บางฝ่ายกังวลว่าไทยจะสูญเสียมูลค่าการค้ากับกลุ่มประเทศสมาชิก โดยเฉพาะสหรัฐฯที่เป็นประเทศเป้าหมายที่ไทยมีความพยายามในการขยายการค้ามาตลอด
ในมุมของสินค้าอุตสาหกรรมเราอาจจะเล็งผลบวก แต่มุมของสินค้าเกษตรยังมีการกล่าวถึงเพียงเล็กน้อยว่าจะได้หรือเสียประโยชน์อย่างไรกับการเข้ารวมกลุ่มการค้าเสรีนี้ ซึ่งภาครัฐต้องไม่ลืมว่ายังมีภาคส่วนที่ขาดความสามารถในการแข่งขันที่เห็นได้ชัดของไทย คือ "ภาคปศุสัตว์" ที่อาจต้อง "เสียที" ให้กับชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ที่พยายามผลักดันสินค้าปศุสัตว์ราคาถูกของตนเองเข้ามาในประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทย
ตัวอย่างที่เป็นบทเรียนอย่างเด่นชัด คือ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ที่มีประสบการณ์ตรงมาแล้วจากการดั๊มพ์ราคาสินค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะเวียดนามเมื่อปี 2556 เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูจำนวนมากต้องล้มละลายจากการเปิดนำเข้าชิ้นส่วนที่เหลือทิ้งไม่เป็นที่ต้องการบริโภคของคนอเมริกัน ถูกส่งเข้าไปขายในราคาต่ำกว่าราคาที่ผลิตได้ในเวียดนาม เกษตรกรในประเทศไม่สามารถสู้ราคาได้จำต้องเลิกกิจการไปในที่สุด
แม้วันนี้เวียดนามจะตกลงร่วมเป็นสมาชิกแล้วก็ตาม แต่ประสบการณ์อันเลวร้ายที่ผ่านมา ทำให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าเวียดนาม นายวู ฮุย ฮวง มีความกังวลอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในประเด็นที่ประเทศสมาชิก TPP ต้องปรับลดภาษีนำเข้าเนื้อสัตว์ลง 15-40%
นอกจากนี้ เวียดนามยังเป็นประเทศที่มีต้นทุนการผลิตสัตว์สูงเนื่องจากต้องพึ่งพาการนำเข้า โดยเฉพาะต้นทุนอาหารสัตว์ ที่ต้องนำเข้าถึง 11 ล้านตันต่อปี คิดเป็น 70% ของอาหารสัตว์ที่ใช้ทั้งหมด และมีมูลค่ามากถึง 3 พันล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน การผลิตหมูในเวียดนามยังเป็นฟาร์มขนาดเล็กและประสิทธิภาพการผลิตที่ไม่ดีนักทำให้ต้นทุนสูง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่หมูเวียดนามจะสามารถแข่งขันกับหมูนำเข้าจากประเทศสมาชิก TPP อย่างสหรัฐฯและออสเตรเลีย อีกทั้งปัจจุบันนี้ก็มีสินค้าเนื้อสัตว์จากทั้งสหรัฐ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น นำเข้าวางขายอยู่ทั่วเวียดนาม และนับวันจะได้รับความนิยมจากชาวเวียดนามมากขึ้น เพราะมีมาตรฐานการผลิตสูง ขณะที่ราคาสินค้าต่ำกว่าผู้ผลิตท้องถิ่น เรื่องนี้จึงกลายเป็นข้อกังวลที่สำคัญของเกษตรกรเวียดนาม
สำหรับภาคปศุสัตว์ไทยก็มีความวิตกกังวลไม่ต่างกัน เช่นเดียวกับ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ นายสุรชัย สุทธิธรรม แสดงความเป็นห่วงว่า การล้มละลายของเกษตรกรเวียดนามจากการเปิดนำเข้าหมูสหรัฐฯเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก จึงไม่อยากให้เกษตรกรไทยต้องซ้ำรอยหากไทยตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิก TPP ในอนาคต ซึ่งถือเป็นการทำลายอุตสาหกรรมหมูของไทยทั้งระบบ
"สหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตหมูรายใหญ่ของโลก ซึ่งก่อนหน้านี้มีความพยายามในการส่งออกเนื้อหมูและเศษเหลือจากการบริโภค ทั้งเครื่องใน หัว ขา ที่มีราคาถูกเข้ามาขายในไทย โดยใช้มาตรการทางการค้ามากดดัน แต่ผู้เลี้ยงทุกคนไม่ยอมให้หมูสหรัฐฯที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงอย่างเสรี เข้ามาขายปะปนกับหมูไทยที่ไม่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนไทย ที่สำคัญเกษตรกรไทยก็ผลิตหมูได้เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ ไม่ขาดแคลน สิ่งที่เราควรทำคือการผลักดันการส่งออกเนื้อหมู แทนการนำเข้าเนื้อหมูไมว่าจากสหรัฐฯหรือประเทศใดๆก็ตาม" นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าว
นายสุรชัย บอกอีกว่า โดยส่วนตัวแล้วมองว่าภาครัฐต้องศึกษาอย่างละเอียด ไม่ควรผลีผลามตัดสินใจเข้าร่วมอยู่ในข้อตกลง TPP และมองว่าหลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ภายในสิ้นปีนี้แล้ว ไทยควรเดินหน้า ASEAN+6 หรือ RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) คือ สมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ รวมกับ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย ซึ่งจำนวนประชากรในกลุ่มนี้มีมากกว่า 3,500 ล้านคน หรือคิดเป็น 50% ของประชากรโลก มีมูลค่า GDP ถึง 22.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน GDP มากกว่า 29% ของโลก
"การรวมกลุ่ม RCEP เป็นอนาคตของไทยและประเทศในภูมิภาค ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของกลุ่มในการลงทุน การทำการค้า ฯลฯ ให้มีศักยภาพสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นได้ ขณะเดียวกัน ประชากรในกลุ่มนี้ ก็ยังมีความต้องการบริโภคสินค้าปศุสัตว์เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงถือเป็นโอกาสของไทยที่เป็นผู้ผลิตสินค้าปศุสัตว์เป็นแนวหน้าในภูมิภาคอยู่แล้ว" นายสุรชัย ย้ำ
ทางด้าน นายวีระพงษ์ ปัญจวัฒนกุล นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่เนื้อ เป็นห่วงว่าสหรัฐฯ ที่มีต้นทุนการเลี้ยงไก่ต่ำกว่าไทย เนื่องจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งถั่วเหลืองและข้าวโพดมีราคาถูกกว่า จะผลักดันเนื้อไก่ราคาถูกเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา
"หากไทยเข้าร่วมกลุ่ม TPP เชื่อว่าสินค้าไก่ของสหรัฐฯจะทะลักเข้ามาในไทย ทำให้สินค้าล้นตลาด เกษตรกรก็ต้องขาดทุน และสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมไก่เนื้อของไทยทั้งหมด จึงขอฝากภาครัฐพิจารณาเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ" นายวีระพงษ์ กล่าว
ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตไก่เนื้อเป็นอันดับ 9 ของโลก และเป็นผู้ส่งออกไก่รายใหญ่ติดอันดับ 4 ของโลก รองจากบราซิล สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป (อียู) โดยมีตลาดส่งออกหลักคือ อียูและญี่ปุ่น คิดเป็นร้อยละ 80-90 ของการส่งออกเนื้อไก่ทั้งประเทศ
นายคึกฤทธิ์ อารีปกรณ์ ผู้จัดการสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย กล่าวว่า ในปี 2558 ประมาณการณ์ว่าประเทศไทยจะสามารถส่งออกไก่เนื้อและผลิตภัณฑ์ได้ประมาณ 650,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 85,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2559 ตลาดเกาหลีใต้จะอนุญาตให้ไทยส่งออกไก่สดได้ ซึ่งจะช่วยให้ไทยส่งไก่สดเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันส่งได้เฉพาะไก่ปรุงสุกปริมาณ 15,000 ตันต่อปี หากเกาหลีใต้เปิดตลาดอย่างเต็มที่คาดว่าไทยจะสามารถส่งออกไก่ไปได้มากกว่า 40,000 ตันต่อปี
"สำหรับสินค้าไก่ หากไทยเข้าเป็นสมาชิก TPP จะมีผลกระทบต่ออุตสากรรมไก่อย่างแน่นอน เพราะสหรัฐฯเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าไก่รายใหญ่ของโลก หากสหรัฐฯส่งสินค้าเนื้อไก่ที่ไม่เป็นที่นิยมบริโภคเช่นชิ้นส่วนน่อง ซึ่งมีราคาถูกเข้ามาขายดั๊มพ์ตลาดในไทย ก็จะกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ รวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์อย่างข้าวโพดและถั่วเหลืองด้วย" นายคึกฤทธิ์ กล่าวย้ำ
ความจริงแล้วไทยมีความสามารถในการส่งเนื้อไก่ที่ได้มาตรฐานเข้าไปยังตลาดต่างประเทศ ทั้งยุโรปและญี่ปุ่น มานานกว่า 40 ปี แต่สำหรับตลาดสหรัฐฯนั้นมีการกำหนดมาตรการที่ยุ่งยาก จากประเทศผู้ส่งออกอย่างไทย ทำให้ไม่สามารถส่งสินค้าเข้าไปได้ ในทางกลับกันที่ผ่านมาสหรัฐฯก็ยังพยายามที่จะส่งไก่เข้ามาบุกตลาดในประเทศอื่นๆรวมถึงไทยด้วย
ไม่ต่างกับการเข้าเป็นสมาชิก TPP ที่สหรัฐฯ ก็จะมีความพยายามส่งออกสินค้าเกษตรไปในกลุ่มประเทศสมาชิก แต่กลับไม่ยอมให้ประเทศสมาชิกส่งสินค้าเกษตรเข้ามายังสหรัฐฯ เพื่อปกป้องเกษตรกรของตนเอง โดยอ้างเหตุผลอื่น เช่น มาตรฐานการผลิตที่ต่ำกว่า รวมทั้งมีการทำประชาพิจารจากผู้เกี่ยวข้องว่าจะยินยอมให้มีการนำเข้าหรือไม่ ข้อนี้ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า ถึงแม้อนาคตไทยจะเข้าร่วมขบวน TPP ก็จะเป็นผู้เปิดตลาดนำเข้าแต่ฝ่ายเดียวไม่สามารถส่งออกได้ จากมาตรการกีดกันของสหรัฐดังกล่าวเช่นกัน