กรุงเทพฯ--9 พ.ย.--คูซูโมโต ชวลิต แอนด์ พาร์ทเนอร์ส
3 พันธมิตรธุรกิจไทย-ญี่ปุ่น จับมือเปิดตัวบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจใหม่ในไทย ในนามบริษัท ฮงโกะ สึจิ แอนด์ ชวลิต จำกัด (Hongo Tsuji and Chavalit Ltd.) เพื่อให้บริการงานบัญชีและภาษีแบบครบวงจร รองรับการเติบโตของบริษัทญี่ปุ่นในไทย พร้อมตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ในช่วงปีแรก
นายทาคาชิ คูซูโมโต หุ้นส่วนผู้จัดการ บริษัท คูซูโมโต ชวลิต แอนด์ พาร์ทเนอร์ส จำกัด กล่าวว่า "บริษัท ฮงโกะ สึจิ ซึ่งเป็นสำนักงานบัญชีและที่ปรึกษาด้านภาษีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับสำนักงานกฎหมายชวลิตซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 4 ของสำนักงานกฎหมายในประเทศไทย (โดยมีบริษัทในเครือ คือ บริษัท สำนักงานกฎหมายสยามซิตี้ จำกัด) และบริษัท คูซูโมโต ชวลิต แอนด์ พาร์ทเนอร์ส จำกัด (KCP) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านการให้คำปรึกษาการลงทุน, M&A, Joint venture ให้กับบริษัทญี่ปุ่นประกาศความร่วมมือก่อตั้งสำนักงานบัญชีแห่งใหม่ชื่อว่า "บริษัท ฮงโกะ สึจิ แอนด์ ชวลิต จำกัด" เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทญี่ปุ่นในไทย โดยคาดว่าความร่วมมือกันในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยให้บริษัทญี่ปุ่นในไทยประมาณ 7,000 แห่ง ได้รับการบริการและคุณภาพของงานด้านบัญชีและภาษีที่ได้มาตรฐานและดียิ่งขึ้น"
ส่วนสาเหตุที่เลือกเปิดขยายธุรกิจในประเทศไทย เนื่องจากเล็งเห็นว่าปัจจุบันในประเทศไทยมีธุรกิจสัญชาติญี่ปุ่นมากกว่า 7,000 แห่ง และบริษัทที่ให้บริการโดยสามารถตอบโจทก์ได้ตรงในทุกๆ ความต้องการกับธุรกิจเหล่านั้นมีค่อนข้างน้อยมาก จึงเป็นโอกาสให้เราขยายธุรกิจมาที่นี่ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความพร้อมในด้านต่างๆ ทั้งในเรื่องคุณภาพของการให้บริการด้านบัญชีและภาษีฯที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มอาชีพทั้งบริษัทไทยและญี่ปุ่น อีกทั้งยังสามารถให้บริการทั้งการปรึกษาภาษีฯ และกฎหมายอย่างครบวงจร
สำหรับภาพรวมธุรกิจบริษัทที่ปรึกษาสัญชาติญี่ปุ่น ที่ผ่านมามีการให้บริการโดยนักบัญชีหรือนักภาษีฯที่ไม่มีประสบการณ์หรือใบอนุญาตอย่างถูกต้อง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับค่าปรับเงินภาษี อีกทั้งการให้บริการในการทำบัญชีและการตรวจสอบบัญชีจำเป็นต้องใช้สำนักงานบัญชีที่ไม่ใช่บริษัทเดียวกัน แต่ยังมีบางหน่วยงานหรือบางองค์กรที่ยังใช้สำนักงานบัญชีเดียวกันอยู่ ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับจรรยาบรรณในการทำงานอื่นๆ ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาและแก้ไขต่อไป
"สำหรับการก่อตั้งบริษัทใหม่นี้ใช้งบลงทุนเบื้องต้นประมาณ 3 ล้านบาท และกลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ จะเน้นไปที่ธุรกิจประเภทสายการผลิต การบริการทางการเงิน ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหาร และในอีกหลายๆ ธุรกิจ โดยคาดหวังว่าการเติบโตของบริษัทในช่วงแรกจะมากกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไทยที่ประมาณ 20%" นายคูซูโมโตกล่าวสรุปท้าย