กรุงเทพฯ--12 พ.ย.--อาร์เอส
ทำเอาตกอกตกใจไปทั้งประเทศหลังจากมีข่าวนักแสดงสาวสุดเซ็กซี่ "แคนดี้-ชุติมา เอเวอรี่" ซึ่งเคยฝากผลงานไว้มากมายทั้งภาพยนตร์ ไกรทอง, ผู้หญิง 5 บาป ฯลฯ ที่หายหน้าหายตาตาวงการ มีข่าวลือคิดสั้นฆ่าตัวตายจากมรสุมชีวิต ล่าสุดเจ้าตัวขอเคลียร์แบบหมดเปลือกในรายการ "ข่าวช่อง 2" ช่วงบันเทิงภาคเที่ยง ทาง "ช่อง 2" ข่าวลึก บันเทิงร้อน ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
เรื่องมันเกิดขึ้นมายังไง ?
"ก็มีช่วงที่ต้องบำบัดรักษาร่วม 10 ปีค่ะ เป็นอัมพฤกษ์ค่ะ ก่อนที่เขาจะป่วยเขาไม่เคยเป็นหวัดเป็นอะไรให้เห็นเลย ช่วงปี 2540 พ่อจะแข็งแรงฮีโร่ อารมณ์ดี แล้วเราก็ยังไม่เคยเจอปัญหาเป็นเรื่องเด็กๆ มากที่เรามาอยู่วงการบันเทิง เหมือนทำเอาค่าขนมเด็กๆ ขำๆ แต่พออยู่ดีๆ เช้าวันหนึ่งเขาก็เป็นอัมพฤกษ์ไปเลย ความเครียดจากเศรษฐกิจ แล้วก็ทำให้เรารับไม่ได้ พ่อเราที่เคยแข็งแรงอารมณ์ดีก็กลายเป็นหน้าเบี้ยว นอนนิ่งไปเลย"
ระหว่างนั้นใครดูแลคุณพ่อ ?
"ทั้งบ้านต้องช่วยกันค่ะ แล้วก็จะมีเด็กแม่บ้าน 2 คนเมื่อก่อนนี้ช่วยกันดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง ไปหาหมอก็มีแต่หมอบอกว่าไม่หาย ไม่มีทาง เพราะพ่ออายุเยอะ มีแต่แง่ลบทั้งสิ้น ไม่มีแง่บวกเลย ซึ่งมันทำให้เราไม่มีกำลังใจ เศรษฐิจปั่นป่วนการที่จะทำงานหาเงินให้ที่บ้าน จากที่เราอยู่ในวงการบันเทิงแค่ค่าขนมขำขำ กลายเป็นเรื่องซีเรียสขึ้นมา แล้วก็ต้องทำทุกอย่าง งานที่ไม่ชอบก็ต้องทำ"
เช่นอะไรที่ไม่ชอบ แล้วต้องทำ ?
"หนังหรือละครบางเรื่อง หรืออะไรที่เรามีความรู้สึกว่าไม่อยากเลย บทแบบนี้เราไม่ชอบเลย แต่ก็ต้องทำ เพื่อที่จะหาเงินให้ที่บ้าน แล้วก็ไปของาน ของานทุกคนไปหมด พี่ผู้จัดการช่วยพาไปรู้จักกองโน้น ทีมนี้ เราก็แบบไม่ว่าจะเจอใครก็ขอให้เขาช่วยไปหมด ช่วยสับคิวให้หน่อยได้ไหม บางครั้งเราได้ร่วมงานกับนักแสดงคุณภาพที่เราเกรงใจมากๆ อย่างสมัยก่อนจะมีสุวนันท์ ศรราม หนุ่ม กรรชัย แล้วเราต้องวิ่งไปรอก 7 เรื่องพร้อมกัน เราก็เกรงใจเขา เราเป็นนักแสดงตัวเล็กๆ แต่ขอเขา ทุกคนใจดีมาก ทุกคนก็ช่วย พ่อแอ๊ดสมบัติ์ พี่กิ๊กสุวัจนี"
ระหว่างนั้นค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ?
"เยอะพอสมควรค่ะ เป็นจำนวนเงินที่เยอะ สูงมากค่ะสมัยก่อน เอาเป็นว่าสูงมาก ไม่อยากเอ่ยถึง เดือนๆ หนึ่งต้องวิ่งหาเงินให้ที่บ้าน แล้วก็ยังอุตส่ามีเหลือเก็บได้บ้างเนาะ ขอคูร ไหว้พระทำบุญ ไม่ได้งมงานนะ แต่คิดว่าเห็นผล"
เครียดขนาดไหน ?
"ตอนที่พ่อยังอยู่ความเครียดมันจะเป็นอีกแบบ เวลาเรากลับเข้าบ้าน เห็นหน้าพ่อ หน้าแม่เนี่ยเราต้องมีแต่รอยยิ้ม ห้ามเครียด เราต้องควบคุมจัดการทุกอย่างตลอดเวลา ไม่ว่าตัวเองจะอยู่กองถ่าย ชั่วโมงละครั้งที่โทรกลับบ้าน มีเวลาเสี้ยวหนึ่งก็โทร มันต้องจัดการทุกอย่างไปหมด"
วินาทีแรกที่รู้พ่อเสีย ?
"อึ้งๆ มันเหมือนช๊อกๆ เหมือนไม่มีอะไรในหัว ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเราช๊อก เรานึกว่าเราไม่เป็นไร เรานึกว่าเราไหว เราเข้มแข็ง เราต้องดูแลต่อไป ต้องทำ มีแต่คำว่าต้อง ต้อง ต้องจัดการไปหมด ดูแม่ ร้องไห้เราเห็นเราก็จะรู้แล้วเราต้องจัดการให้ได้ ผ่านเวลา 3 เดือนเห็นว่าแม่ค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว พอสมองสั่งว่าเราพักผ่อนได้แล้วนะ มันก็เลยทิ้งเกือบทุกอย่าง ไม่เอาอะไรแล้ว ทำงานที่ทำอยู่ให้เสร็จ แต่งานใหม่เราไม่รับแล้ว ตอนนั้นไม่รับอะไรทั้งสิ้น แค่ขอหนีไป เราก็รู้ว่ามีเพื่อนเรา มีเพื่อนแม่ที่จะดูแลแม่เราได้"
หายไปจากวงการบันเทิงนานแค่ไหน ?
"ประมาณ 3-4 ปี ถ้าถามตอนนี้ตอบตามจริงถ้าไม่ไปรื้อดูเอกสาร มันลบไปแล้ว ดี้จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพ่อตัวเองเสียปีไหน จำเพื่อนบางคนที่ไปงานศพพ่อไม่ได้ คือมาบังเอิญเจอกันหลังจากที่เราดีขี้นหมดแล้ว มันหายไปหมด พ่อเคยสั่งว่าให้จำสิ่งที่ดีๆ ก็พยายามทำลบที่มันไม่ดีให้หมด"
ลืมเองอัติโนมัติ ?
"มันอัติโนมัติเหมือนเป็นกลไกป้องกันความเจ็บปวดของมนุษญ์หรือเปล่าไม่รู้ บางอย่างมันหายไป"
ได้ยินมาว่าคิดว่าฆ่าตัวตายด้วย ?
"ก่อนที่พ่อจะเสียค่ะ มันเหมือนช่วงที่สุดจริงๆ มนุษย์ 1 คนจะทำอะไรได้มากมายเนาะ จะให้ฉันทำอะไรขนาดนี้ ละคร 3 เรื่อง วีซีดี 3 เรื่อง ภาพยนตร์ 1 แค่นี้ก็ไม่รู้จะแทบกราบเท้ากองถ่ายทุกกองที่เขาช่วย สับรางเวลาให้เรา ใน 1 วันเราวิ่งไป 3 จังหวัด จะฉีกร่างฉันหรือไง"
จะทำอะไรขนาดนั้น ?
"มันมีความคิด มีสติ มีสมองอยู่ตลอด แต่ใจมันไม่ไหว ก็ขึ้นไปอยู่บนที่สูงๆ หาที่โล่ง หาที่ที่มันสบายใจบ้าง หายใจลึกๆ ขึ้นไปดูซิ ข้างบนตึกมันโล่งไหม ขึ้นไปยืนดูวิว กะว่าลงไปทีเดียวคงหมด"
ผ่านตรงนั้นมาได้ยังไง ?
"ขึ้นไปยืน ไปคนเดียวก็ปล่อยมือถือแบตหมด หมดแล้วมันสุดแล้ว มองลงไป หายใจลึกๆ พร้อมมากที่จะลง แล้วก็คิดว่าแต่ถ้าจะไป ใครจะดูแลที่บ้านต่อ ถ้าเราไม่อยู่ รายได้มันมาจากเรา แม่เขาก็พยายามมาก แต่ว่าเป็นช่วงเวลาของคนที่มีขึ้นมีลงนะคะ ถ้าใครไม่อยู่จุดนี้ ไม่รู้จริงๆ แต่ที่พูดทุกวันนี้คืออยากจะแชร์ว่าเป็นแง่มุมของการแชร์กำลังใจแล้วกัน จากคนที่มันสุดแล้วจริงๆ อะไรที่มันเรียกว่าเฉียดนรก หรือบางอย่างก็อยู่ในนรกแล้วก็ทำไปเยอะแล้ว อยากจะให้เป็นกำลังใจว่าเราไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้จะพาอะไรมาสู่เรา อยู่ต่อไปเถอะ ทำต่อไปเถอะ ไม่ว่าใครจะแย่ขนาดไหน แค่เพียงฟื้นฟูกำลังใจให้คิดแง่บวกได้มันก็จะดีขึ้น"
ปรึกษาพ่อแม่หรือคนใกล้ตัว ?
"ไม่ได้เลย อยู่ต่อหน้าพ่อหน้าแม่ท้อไม่ได้เลย เพราะหมอสั่งพ่อห้ามเครียด ถ้าอยากให้เขาหายจากอัมพฤกษ์แล้วเขาเซ็นซิทีฟ เขารับรู้เร็วมาก พอกลับเข้าบ้านก็เสียงแข็ง ดูปกติ ฉันโอเค ไม่เป็นไร บางครั้งน้ำตาจะร่วงก็ต้องอั้น เห็นพอวันนี้ยกมือเกินกกหูได้แล้วนะนำตาจะแตก แต่ก็ต้องอั้น วิ่งเข้าห้องน้ำร้องไห้ก้ห้ามมีเสียง บางครั้งออกไปข้างนอก พยายามกลับมาให้เป็นปกติ โนเพลงคลิสมาสนำตาก็แตกกลางห้าง หรือว่าโฆษณาประกันชีวิตอะไรของคุณทั้งหลายก็เกือบจะฆ่าคนได้เหมือนกัน มันก็บิ้ว ทุกอย่างมันอยู่ที่อารมณ์ ที่เขาเรียกว่าโรคซึมเศร้า ไม่รู้ว่าเราเป็นรึป่าว แต่มันก็ดูคล้าย เคยขับรถเร่ร่อน ขับไปเรื่อยๆ ไปเสถียรธรรมสถาน เพื่อนบอกที่นั่นมันโล่งนะ พอเขไปในนั้น เขาไม่ยุ่งกับเราดีเนาะ บังเอิญได้เจอแม่ชีสันษนีย์ ฉันพูดอะไรไม่ไหวแล้วนั่งร้องไห้มันตรงนั้น แต่พวกนั้นเราก็ผ่านมาหมดแล้ว ก็ดีขึ้นได้ในที่สุด ดีกว่าตอนนั้นเยอะ"
ผ่านมรสุมมาแล้ว ชีวิตดีขึ้น ?
"ก็บำบัดอารมณ์ตัวเองด้วยวิธีที่ตัวเองคิดว่าใช่ เช่นต้องการความเงียบ ก็เงียบจริงๆ โทรศัพท์ไม่เอาแล้วฉันเป็นมนุษย์ถ้ำ ทีวี วิทยุก็ไม่เอา อยุ่ในห้องคนเดียวเงียบๆ มันยังเงียบไม่พอต้องไปทะเลเป็นเดือน ใช้วิธีโทรกลับมาเช็กที่บ้าน แม่โอเคนะ"