กองทุนบัวหลวงเปิดแผนธุรกิจ พร้อม theme การลงทุนใหม่ปี 2559 รวมถึงพันธกิจ 5 ปี “ทำให้ครอบครัวไทยมีความมั่นคงทางการเงิน”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 16, 2015 14:30 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 พ.ย.--บลจ.บัวหลวง กองทุนบัวหลวง เปิดแนวทางการดำเนินงานของบริษัทในอีก 5 ปีข้างหน้า ที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงสำคัญของโลก พร้อมเปิดเผย Theme การลงทุนปีหน้า "สูงวัย สุขสำราญ บริการ ปัจจัย 4" และเผยแผนงานภายใต้พันธกิจ (Mission) จากนี้ไปอีก 5 ปี คือ "ทำให้ครอบครัวไทยมีความมั่นคงทางการเงิน" ภายใต้วิสัยทัศน์ (Vision) หลักขององค์กร "เป็นสถาบันการเงินที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ลงทุนให้บริหารเงินลงทุน ด้วยความยึดมั่นในผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ" นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (กองทุนบัวหลวง) เปิดเผยว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานี้ ผู้บริหารและพนักงานกองทุนบัวหลวง ได้ร่วมกันระดมความคิดและทำแผนกลยุทธ์ธุรกิจสำหรับอีก 5 ปีจากนี้ ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่โลกและประเทศไทยกำลังไปสู่อีกยุค หลังจากผ่านยุคแรกเมื่อ 5 ปีก่อน โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการของกองทุนบัวหลวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว "กลยุทธ์ต่างๆ เหล่านี้เกิดจากจากระดมสมองของพวกเราที่ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ระดมสมองจากหลากหลาย เจเนอเรชัน คือ Baby Boomer, Generation X และ Generation Y ในบริษัท รวมๆ แล้วประมาณ 50 คน เราทำงานแบบ Bottom Up โดย กำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจแบบ Top Down ลงไปก่อน แล้วทีมงานของเราจะนำประสบการณ์ในสนามจริง กับความคิดสร้างสรรต่างๆ มาผนวกแบบ Bottom Up คล้ายๆ กับวิธีบริหารกองทุนของเรา ทำให้ได้ผลที่ทุกคนจะเข้าใจว่าจากนี้ไป เป้าหมายร่วมกันของเราคืออะไร จะทำงานกันอย่างไรเพื่อตอบโจทย์ใหม่ที่ท้าทาย นั่นคือพันธกิจใหม่สำหรับ 5 ปีข้างหน้า พ.ศ. 2559-2563 ที่จะ"ทำให้ครอบครัวไทยมีความมั่นคงทางการเงิน" หลังจากพันธกิจเดิมที่กำหนดไว้เมื่อ 5 ปีก่อน ที่ว่า "เราจะเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ที่สร้างความพึงพอใจ สูงสุดให้แก่ ลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน และ สังคม" สำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี โดยทั้งสองพันธกิจอยู่บนวิสัยทัศน์ขององค์กร (Vision) ที่ถือเป็นเป้าหมายสูงสุด นั่นคือการ "เป็นสถาบันการเงินที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ลงทุนให้บริหารเงินลงทุนด้วยความยึดมั่นในผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ" "ที่สำคัญคือเราต้องมั่นใจได้ว่า Generation ต่างๆ ของเราจะมองเป็น มีวิสัยทัศน์ มีความกล้าหาญ ทำงานสอดคล้อง ส่งต่อกันได้ มีความเข้าใจในตัวตนและ DNA ของกองทุนบัวหลวง จนสามารถสืบทอดต่อเนื่องไปได้อย่างราบรื่น และรุ่งเรือง โดยต่อเนื่องไม่ขาดสาย" นางวรวรรณ กล่าว "สำหรับเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2559 นั้น หากไม่มีเหตุปัจจัยอื่นที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจนส่งผลอย่างมีนัยสำคัญ เศรษฐกิจโลกก็น่าจะขยายตัวได้ที่ประมาณ 3.6% ด้วยการขับเคลื่อนจากประเทศในกลุ่มพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเป็นหลัก ในขณะที่จีนยังต้องปรับตัวตามเป้าหมายของเขา ทำให้ตลาดเกิดใหม่ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของจีน เช่น อาเซียน จะขยายตัวไม่ต่างจากปีนี้มากนัก ส่วนประเทศไทยน่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากปีนี้ที่ประมาณ 2.5% มาอยู่ที่ประมาณ 3.0% ในปีหน้า อัตราเติบโตของ GDP ไทยจากนี้ไป 4-5 ปี อย่างเก่งก็ได้ 3%-4% เพราะฐานเดิมของเราใหญ่ และต้องปรับเปลี่ยนนวัตกรรมกับการผลิต/บริการอีกมาก อะไรที่เคยมีดี คู่แข่งเขาก็จะตามทันได้ รวมถึงการท่องเที่ยวด้วย อย่าไปตั้งเป้าหมายที่เลื่อนลอยไปว่า GDP จะต้องโตได้เกินจริง ไม่จำเป็นต้องไปยึดอัตราการเติบโตขง GDP เป็นสรณะแบบที่เคยผ่านมาอีก เพราะเป้าหมายที่สำคัญกว่าคือการลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งการจะทำให้อัตราการขยายตัวของGDP ส่งผลดีไปที่คนระดับกลางและล่างด้วย ไม่ใช่ร่ำรวยเฉพาะคนระดับบน จึงจะเป็นภาระกิจที่สำคัญยิ่งของประเทศที่เราทุกคนควรร่วมกันทำให้บรรลุผล นอกจากนี้ กว่าโครงสร้างพื้นฐานจะเห็นผลจริง มันก็ใช้เวลากว่าจะสร้างเสร็จ" นางวรวรรณ กล่าว สำหรับมุมมองด้านการลงทุน นางวรวรรณ กล่าวว่า ในปีหน้าตลาดหุ้นไทยน่าจะมีลักษณะ Sideways up ถ้ารัฐบาลสามารถทำให้ความมั่นใจกลับคืนมาได้และไม่มีความรุนแรงอะไรเกิดขึ้นอีก ซึ่งหากประชาชนมีกำลังซื้อที่ดีขึ้นได้ก็จะช่วยให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโต โดยมีปัจจัยเสี่ยงคือภัยแล้งกับกำลังซื้อของรากหญ้าที่ยังไม่ดีขึ้น ถ้าแก้ไขตรงนี้ได้ จะไปได้เร็วขึ้น และจะช่วยลดความเสี่ยงจากความไม่สงบภายในประเทศลงไปได้ด้วย ส่วนเรื่อง FED ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น ตลาดได้รับรู้ไปมากแล้วประเด็นจึงไม่ได้อยู่ว่าจะขึ้นหรือไม่ แต่อยู่ที่จะเริ่มขยับขึ้นเมื่อไหร่ ซึ่งเมื่อเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกก็น่าจะเป็นเหมือนอดีตคือขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่ติดต่อกันไป ทำให้ราคาตลาดตราสารหนี้ในปีหน้าจะผันผวนมากขึ้น เพราะมีความแตกต่างทางนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักๆ โดย FED มีแผนจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ ECB และจีนจะทำตรงกันข้าม คือผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้น ซึ่งดูไปแล้ว การลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ REITs และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจจากอัตราเงินปันผลที่ดีในภาวะอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ" นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา Managing Director และ Chief Investment Officer กล่าวว่า Theme การลงทุนในปีหน้า คือ "สูงวัย สุขสำราญ บริการ ปัจจัย 4" ซึ่งยังคงเน้นโครงสร้างประชากรที่กำลังเปลี่ยนแปลงและเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการพัฒนาใหม่ๆ อยู่ได้ตลอด ทำให้เกิดโอกาสการลงทุนในหลายๆ ด้าน ได้แก่ การขยายตัวของชนชั้นกลาง การก้าวเข้าสู่สังคมเมือง (Urbanization) ของประเทศตลาดเกิดใหม่ทำให้รายได้ของประชนชนสูงขึ้น มีการคาดการณ์ว่าประชากรชนชั้นกลางในเอเชียจะเพิ่มจำนวนจากราว 1,200 ล้านคนในขณะนี้ เป็นกว่า 3,000 ล้านคนในปี ค.ศ. 2030 และการจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการที่เป็นปัจจัย 4 ของคนกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ โดยประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนกับอินเดียจะมีประชากรกลุ่มวัยทำงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นกลุ่มผู้มีอำนาจซื้อในอนาคต จึงจะเป็นแรงผลักดันและอุดหนุนการบริโภคในระยะยาว สังคมผู้สูงวัย นอกจากการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มคนวัยทำงานแล้ว ประชากรอีกกลุ่มที่จะเป็นกำลังหลักของการอุปโภคบริโภคได้แก่กลุ่มผู้สูงวัยในปัจจุบัน ซึ่งเป็นกลุ่ม Baby Boomer ที่มีกำลังซื้อมหาศาล โดยในสหรัฐอเมริกานั้นกลุ่ม Baby Boomer มีสัดส่วนกว่า 40% ของประชากร และมีศักยภาพในการใช้จ่ายถึง 70% ของกำลังซื้อในประเทศ ซึ่งไทย สิงคโปร์ หรือจีน ต่างมีแนวโน้มในลักษณะเดียวกัน อยู่ดี กินดี ดูดี สุขภาพดี อยู่ดี - เมื่อมีกำลังซื้อมากขึ้น และมีสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น การตกแต่งบ้านหรือการปรับปรุงบ้านก็จะมีสูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่ม Baby Boomer ที่กำลังอยู่ในช่วงระหว่างวัยเกษียณ จะมีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้มีแนวโน้มที่จะลงทุนตกแต่งและปรับปรุงบ้าน กินดี - ความสามารถในการจับจ่ายที่มากขึ้น และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปโดยเฉพาะคนเมือง ทำให้อุตสาหกรรมอาหารได้รับประโยชน์จากหลายๆ ส่วน คนในชุมชนเมืองทำอาหารเองน้อยลง ออกไปใช้บริการร้านอาหารที่หลากหลายมากขึ้น อีกทั้งคนเมืองต้องการความสะดวกสบายทำให้อาหารประเภท Ready Meal จะเป็นที่นิยม ดูดี - ใครๆ ก็ต้องการให้ตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ สังเกตได้จากรูปใน Social Media ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนให้ความสำคัญต่อการดูดี ดังนั้น จึงต้องการสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการดูดี เช่น การใช้สินค้าที่เสริมบุคลิก เสื้อผ้า เครื่องสำอาง และ สินค้า Anti-aging ต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มฐานลูกค้าที่มีอายุมากขึ้น พร้อมจะลงทุนให้ตัวเองดูดีอยู่เสมอ และมีกำลังซื้อสูง สุขภาพดี - เทรนด์การดูแลสุขภาพยังคงมาแรง และไม่ใช่แค่การรักษาพยาบาลยามเจ็บป่วยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอาหารเพื่อสุขภาพ ยาบำรุง รวมทั้งบริการอื่นๆ เช่น Fitness ศัลยกรรมความงาม การชะลออายุ การดูแลสุขภาพฟัน ฯลฯ และเมื่อประชากรสูงอายุมีมากขึ้น จึงเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจสินค้าและบริการสำหรับผู้สูงอายุ เช่น ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ เป็นต้น "การเลือกหุ้นลงทุนของเราจะเน้น Theme การลงทุนในปี 2559 ด้วยการต่อยอดปีก่อนๆ โดย เรา Update Themeการลงทุนใหม่ทุกปีเพื่อให้เข้ากับสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต และเพื่อทำให้ประสบความสำเร็จจากการลงทุนในระยะยาว อย่างไรก็ดี เรายังคงลงทุนต่อเนื่องใน Theme เดิมที่ผ่านมาด้วย ไม่ได้ Liquidate ออกไปทั้งหมด เช่น กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานก็ยังอยู่ โดยเราได้ลงทุนไปก่อนหน้าแล้ว ไม่ต้องรอจนราคาขึ้นจึงค่อยมาลงทุน และเมื่อโครงสร้างพื้นฐานเกิดขึ้นจริง ผลของมันก็ไม่ใช่เพียงปีหรือสองปี แต่จะต่อเนื่องไปอีกนาน ด้วยเหตุนี้ เราจึงยังคงลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพอร์ตของเราอย่างต่อเนื่อง แต่เพื่อผลในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เราจึงให้น้ำหนักการลงทุนไปทางด้านภาคบริการที่เกี่ยวกับปัจจัย 4 เป็นพิเศษ" นายพีรพงศ์ กล่าว นายวศิน วัฒนวรกิจกุล Managing Director, Head of Business Distribution กล่าวว่า การลงทุนที่หวังผลได้สูงๆ ในเวลาเพียงปีเดียวจะไม่ง่ายเหมือนสองสามปีที่ผ่านมา เพราะประเทศกำลังปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้มีกำลังส่งในรอบใหม่ซึ่งต้องใช้เวลา ผู้ลงทุนต้องเข้าใจ และรอคอย เหมือนปลูกมะม่วงในวันนี้ มิอาจให้ผลได้ในเวลาเพียงปีสองปี แต่ถ้าหากมีระยะเวลาลงทุนยาวนานพอก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดทุนลงได้และมีโอกาสดีที่จะได้รับผลตอบแทนสูงๆ จากกำลังส่งจากโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจใหม่ๆ ในระยะยาว สำหรับในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ กองทุนบัวหลวง แบ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายตามอายุและลักษณะที่แตกต่างกัน เพื่อที่จะทำการตลาด การสื่อสาร และนำเสนอผลิตภัณฑ์ (Products) และให้บริการ (Service) โดยแบ่งเป็น 7 + 2 Segment ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีความต้องการ เป้าหมายทางการเงิน และการรับความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไป Segment 1: เด็กนักเรียน อายุน้อยกว่า 15 ปี การปลูกฝังแนวคิดที่ถูกต้องด้านการลงทุน รวมถึงเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้รับประสบการณ์บ้างเป็นเรื่องสำคัญแม้ว่ากลุ่มนี้จะมีระยะเวลาการลงทุนนาน แต่หากให้เขาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากเกินไปและผิดหวัง จะทำให้จำฝังใจและกลัวการลงทุนได้ ดังนั้น จึงต้องค่อยๆ แนะนำทางเลือกการลงทุน และหากจะลงทุนกองทุนที่เสี่ยง ก็ไม่ควรที่จะลงทุนในจำนวนมากนัก และควรใช้วิธีทยอยลงทุนเพื่อสร้างวินัยไปในตัว Segment 2: ช่วงก่อนวัยทำงาน อายุระหว่าง 15 – 19 ปี กลุ่มวัยนี้ เป็นวัยอยากรู้อยากเห็นอยากลอง กล้าได้กล้าเสีย ดังนั้น การเลือกลงทุนในกองทุนหุ้น หรือกองทุนผสมที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นสูง เช่น บัวแก้ว บัวหลวงโครงสร้างพื้นฐาน บัวหลวงปัจจัย 4 BCARE หรือ B-GLOBALเป็นต้น Segment 3: ช่วงเริ่มทำงาน อายุระหว่าง 20 – 29 ปี เป็นวัยที่เริ่มรับผิดชอบตัวเอง อยากอยู่ได้โดยไม่พึ่งครอบครัว ความรู้ความเข้าใจเรื่องการเงินจึงสำคัญยิ่ง มีระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนาน การวางแผนและลงมือทำโดยเร็วจะทำให้เขามีโอกาสที่จะมีอิสรภาพทางการเงินได้เร็ว และเนื่องจากรับความเสี่ยงได้มาก กองทุนที่แนะนำจึงเป็นกองทุนหุ้น เช่น บัวแก้ว บัวหลวงโครงสร้างพื้นฐาน บัวหลวงปัจจัย 4 BCARE หรือ B-GLOBAL เป็นต้น Segment 4: ช่วงสร้างครอบครัว อายุระหว่าง 30 – 39 ปี เป็นช่วงเริ่มมีครอบครัว มีภาระ ไม่ว่าจะเป็นภาระจากการซื้อรถ ซื้อบ้าน ดังนั้น เงินลงทุนอาจมีการแบ่งสัดส่วนการลงทุนให้กระจายตัวมากขึ้น ความเสี่ยงที่รับได้คือปานกลางค่อนข้างสูง อาจลงทุนในกองทุนหุ้นประมาณครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินลงทุน Segment 5: ช่วงสร้างความมั่นคง อายุระหว่าง 40 – 55 ปี เป็นช่วงวัยมั่นคง มีรายได้มากที่สุด แต่ก็จะมีรายจ่ายมากที่สุดด้วย ดังนั้น ความเสี่ยงที่รับได้จะเริ่มลดลง สามารถรับได้ในระดับปานกลาง ดังนั้น การลงทุนจึงควรมีส่วนผสมของหุ้นลดลงมา เช่นเหลือกองทุนหุ้นประมาณ 40% และส่วนที่เหลือเป็นตราสารหนี้ นอกจากนี้ อย่าลืมเรื่องการลงทุนเพื่ออนาคตยามเกษียณ เช่น กองทุน RMF และ LTF Segment 6: ช่วงเตรียมตัวก่อนเกษียณ อายุระหว่าง 55 – 60 ปี เป็นช่วงที่ต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสู่วัยเกษียณ ต้องเคลียร์ภาระหนี้ต่างๆ ให้หมด หากยังมีภาระอยู่ก็ต้องกันเงินส่วนหนึ่งสำหรับค่าใช้จ่ายที่จะต้องเกิดขึ้น ดังนั้น เงินในส่วนที่ต้องกันเป็นค่าใช้จ่ายควรมีความเสี่ยงต่ำลง เช่น กองทุนกลุ่มตราสารหนี้ และควรลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงประมาณ 30-40% ส่วนที่เหลือลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง กองทุน RMF และ LTF กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ Segment 7: ช่วงเกษียณ อายุมากกว่า 60 ปี เป็นช่วงที่ไม่มีรายได้ เงินเก็บที่มีจะต้องบริหารให้ดีเพื่อให้มีใช้จ่ายจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต หากมีเงินก้อนต้องแบ่งสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะ ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงประมาณ 20-30% เพื่อไม่ให้เงินลดค่าลงตามกาลเวลา กองทุนที่เหมาะสมคือ B-SENIOR กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หรือเลือกการลงทุนด้วยตัวเอง ผสมผสานการลงทุนเองตามความเหมาะสม Segment 8 : Family Business / Family Office และ Segment 9 : Corporate เป็นการทำตลาดโดยตรงแบบ Focus ไม่ใช่แบบ Mass โดยจะเน้นเรื่องการขยายตัวแทนขายที่เข้าถึงกลุ่มต่างๆ ให้เพิ่มขึ้น ตลอดจนนำแนวคิดเรื่อง Changing Behavior กับ Social Value ที่ให้ความสนใจและให้ความสำคัญในเรื่องความรับผิดชอบ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ตลอดจนบรรษัทภิบาล และความยั่งยืนของกิจการมากขึ้น โดยจะนำประเด็น Social Resposible Investment และ E S G เป็นตัวนำ "การทำการตลาดของเรามุ่งไปที่การทำให้ครอบครัวไทยมีความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งตรงกับพันธกิจของเรา เพราะเราต้องการให้ผู้ลงทุนคิดถึงเราในลำดับต้นๆ เมื่อจะลงทุน สิ่งที่เราได้ดำเนินการมาแล้วและจะดำเนินการต่อไปในแต่ละกลุ่มลูกค้า ตั้งแต่เด็กน้อยหน้าใส จนถึงวัยเกษียณ เพราะเราต้องการให้ผู้ลงทุนคิดถึงเราในลำดับต้นๆ เมื่อจะลงทุน ให้นึกถึงว่าเรา เป็น Advisor for Life สำหรับเขา" นายวศิน กล่าว นายวินัย หิรัณย์ภิญโญภาศ Deputy Managing Director, Head of Operation & System กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และการเปลี่ยนแปลงด้าน Digital Technology ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นเรื่องท้าทายสำหรับกองทุนบัวหลวงที่จะต้องตอบสนองทั้ง 2 เรื่องให้ได้ ในด้านการให้บริการ กองทุนบัวหลวงมีแผนการพัฒนาบริการให้เกิดระบบที่ง่าย รวดเร็ว และมีทางเลือกให้ลูกค้าเลือกใช้บริการได้หลายช่องทางตามความเหมาะสมของตนเอง เช่นการพัฒนาช่องทางการซื้อขายหน่วยผ่านทางโทรศัพท์ เพื่อรองรับกลุ่มคนที่ไม่ชอบการใช้สื่อดิจิตอลมากนักอย่างผู้สูงวัย และจะใช้ Application สำหรับลูกค้าบาง segment เช่นลูกค้ากองทุนรวมบัวหลวงร่วมทุน หรือลูกค้าที่ไม่ใช่ลูกค้าของธนาคารกรุงเทพ เพื่อเป็นการสร้างฐานลูกค้าใหม่ให้กับธนาคารด้วย ในอนาคตเราจะมี Application สำหรับผู้ใช้ Smart Phone หรือ Tabletบนระบบปฏิบัติการทั้งที่เป็น IOS , Android และเราจะให้ความสำคัญกับเรื่องของ Digital marketing เราจะมีช่องทางการสื่อสาร เช่น Line@ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เรามี Facebook ในส่วนของตัวแทนขาย (Selling Agent) จะมีการพัฒนา Platform ที่ให้ความสะดวกแก่ตัวแทนในการทำงาน พัฒนาระบบต่างๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกสำหรับลูกค้าของ Agent ต่างๆ ทั้งเรื่องช่องทางการชำระค่าซื้อหน่วยลงทุน ช่องทางการทำรายการผ่าน Online (iBanking) และสนับสนุนให้มีตัวแทนขายเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มี บล.บัวหลวง บล.โนมูระพัฒนสิน และตัวแทนขายหน่วยลงทุนของ บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต "นอกจากการพัฒนาไปข้างหน้าเพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านบริการแล้ว การเตรียมพร้อมรองรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่จะกระทบกับผู้ลงทุนก็เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน เพราะหัวใจของเราคืองานบริการ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันก็ต้องมั่นใจได้ว่าธุรกิจเราจะต้องเดินต่อไปได้ โดยเราได้รับการสนับสนุนจากธนาคารกรุงเทพในฐานะบริษัทแม่ที่ช่วยดำเนินการจัดทำ ระบบบริหารจัดการธุรกิจให้มีความต่อเนื่อง Business continuity management (BCM) ที่จะทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้ในทุกๆ สถานการณ์ และเพื่อให้สามารถฟื้นกลับสู่สภาพปกติหลังเกิดเหตุการณ์ทำให้หยุดชะงักได้อย่างรวดเร็ว" นายวินัย กล่าว นายหรรสา สุสายัณห์ Managing Director, Head of Corporate & High Net Worth Business กล่าวถึง การทำธุรกิจในอนาคตว่า กองทุนบัวหลวงให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG และ Social Responsibility Investment (SRI) เนื่องจากเรามั่นใจว่า การทำธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การมีบรรษัทภิบาล กับการให้ความสำคัญกับการต่อต้านคอร์รัปชั่น (ESGC) จะเป็นการทำธุรกิจที่ยั่งยืน ทำให้ได้รับการยอมรับจากลูกค้าและนักลงทุน เป็นการสร้างแบรนด์ให้เข้มแข็งเป็นที่ยอมรับในกลุ่มผู้ลงทุนและสาธารณชน ดังนั้น กระบวนการลงทุนของเราจึงให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ เรานำเรื่องการมีบรรษัทภิบาลที่ดีของบริษัทต่างๆ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการลงทุนในทุกๆ กองทุน โดยมี กองทุนบัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล ที่ระบุชัดเจนถึงการเลือกลงทุนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ "สิ่งที่เราภูมิใจคือเรามีกองทุนที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESGC (Environment / Social Responsibility / Governance / Anti-Corruption) โดยเฉพาะอย่าง กองทุนรวมคนไทยใจดี (BKIND) โดยหวังให้เป็นกลไกที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้สนับสนุนบริษัทที่มีการกำกับกิจการที่ดีตามเกณฑ์ ESGC ทำให้บริษัทต่างๆ เห็นความสำคัญถึงเรื่องเหล่านี้ให้มาก เพราะจะมีคนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ใส่ใจและเลือกลงทุน เลือกซื้อสินค้าและบริการด้วยเรื่องเหล่านี้เช่นกัน ทั้งนี้ กองทุนรวมคนไทยใจดี (BKIND) ได้นำเงินถึง 40% ของรายได้ในการบริหารกองทุนไปสนับสนุนโครงการที่แก้ปัญหาและสร้างสรรสังคมไทยประเภทต่างๆ ซึ่งปัจจุบันได้จัดสรรเงินส่วนนี้เพื่อช่วยเหลือโครงการต่างๆ แล้วกว่า 17 โครงการ" เราอยากให้คนไทยนึกไว้ในใจเสมอว่า "ทำดี...ไม่ต้องรอ" คือทำดีได้ทุกคน ทุกวัน ไม่ต้องรอให้ร่ำรวยหรือเป็นใหญ่เป็นโต มาร่วมกันเป็นเทียนเล่มเล็กที่รวมกันให้พลังแสงที่สว่างไสวกันตั้งแต่วันนี้ร่วมกับเรากองทุนบัวหลวงเถิดครับ" นายหรรสา กล่าวทิ้งท้าย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ