กรุงเทพฯ--17 พ.ย.--ไอทูซี คอมมิวนิเคชั่นส์
กลุ่ม KTIS ทำผลงานได้สวย ไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิ 529.2 ล้านบาท เติบโต 139.5% จากสายธุรกิจน้ำตาลและเอทานอล ส่วนงวด 9 เดือน รายได้เพิ่ม 880 ล้านบาท มั่นใจโตต่อเนื่องอย่างมั่นคงและยั่งยืน จากราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่ผ่านพ้นจุดต่ำสุด ส่งผลดีต่อสายธุรกิจน้ำตาลและผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่องทั้งน้ำเชื่อมและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษที่จะผลิตออกจำหน่ายในปลายปีนี้ ส่วนโรงไฟฟ้าขนาด 50 MW อีก 2 โรง จะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำในปี 2559
นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 (กรกฎาคม-กันยายน 2558) สายธุรกิจที่ยังคงมีรายได้เติบโตโดดเด่นคือสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ซึ่งมีรายได้ 4,970.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 686.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 16% รองลงมาเป็นรายได้จากการจำหน่ายเอทานอล 392.1 ล้านบาท เติบโต 12.2% และมีรายได้จากการจำหน่ายเยื่อกระดาษ 324.5 ล้านบาท
สำหรับรายได้รวมในไตรมาสที่ 3 ปี 2558 ของบริษัทและบริษัทย่อย เท่ากับ 5,759.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 608.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 11.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2557 ซึ่งมีรายได้ 5,150.3 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 529.2 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 221.0 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 139.5%
"สิ้นสุดไตรมาส 3 สัดส่วนรายได้ของกลุ่มธุรกิจน้ำตาลทรายของ KTIS อยู่ที่ 84.1 % ซึ่งยังเป็นสัดส่วนที่สูง และกลุ่มธุรกิจชีวพลังงานมีสัดส่วน 15.9 % เนื่องจากรายได้จากสายธุรกิจน้ำตาลมีการเติบโตสูงกว่าสายธุรกิจอื่น" นายประพันธ์กล่าว
สำหรับรอบ 9 เดือน ของปี 2558 (มกราคม-กันยายน 2558) บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 1,193.6 ล้านบาท จากรายได้รวม 15,031.7 ล้านบาท โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของรายได้ 879.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2557 ซึ่งมีรายได้ 14,152.1 ล้านบาท
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม KTIS กล่าวด้วยว่า ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกได้ปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการน้ำตาลของประเทศจีนเข้ามาช่วยกระตุ้น ประกอบกับค่าเงินของบราซิลเริ่มหยุดการอ่อนค่าลง และเมื่อพิจารณาจากปริมาณน้ำตาลทรายในอนาคต ที่จะผลิตได้จากประเทศผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะมีออกมาไม่มากจนเกินความต้องการ ก็เชื่อว่าราคาน้ำตาลโลกได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งจะทำให้รายได้และกำไรของกลุ่มธุรกิจน้ำตาลของ KTIS ดีขึ้นในอนาคต
"หากราคาน้ำตาลกลับมาดี ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำตาล รวมไปถึงน้ำเชื่อมและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ ที่จะผลิตออกจำหน่ายในปลายปีนี้ก็จะมีอนาคตที่ดีด้วย และสายชีวพลังงานของ KTIS ก็จะมีโรงไฟฟ้าขนาด 50 MW เพิ่มอีก 2 โรง ดังนั้น ในแง่ของการเติบโตของ KTIS นั้น จะเห็นชัดเจนขึ้นในปี 2559 จึงให้ความมั่นใจกับผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนได้ว่า KTIS เป็นบริษัทที่มีการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนอย่างแน่นอน" นายประพันธ์กล่าว