กรุงเทพฯ--17 พ.ย.--ทิสโก้
บลจ. ทิสโก้จับจังหวะหุ้นอินเดียปรับฐานระยะสั้น ส่งทริกเกอร์ฟันด์ "อินเดีย อิควิตี้ ทริกเกอร์" กองที่ 2 มองอินเดียปรับฐานแรงแต่พื้นฐานเศรษฐกิจยังแกร่ง คาดอัพไซด์ 20% เป็นจังหวะลงทุน เป้าหมายเลิกโครงการ 8% ภายใน 8 เดือน หรือ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหลังจากเปิดให้ซื้อขายสับเปลี่ยนได้ทุกวันทำการ เสนอขายครั้งแรก 17-23 พ.ย. 58 นี้
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Head of Marketing and Wealth Advisory, Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่สามารถตอบโจทย์การลงทุนในจังหวะเวลาที่เหมาะสมล่าสุด บลจ.ทิสโก้ จึงเปิดเสนอขาย "กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8%#2" (TISCO India Equity Trigger 8% Fund 2 : TISCOIN2) ซึ่งเป็นกองทริกเกอร์ฟันด์ที่ลงทุนในหุ้นอินเดียเป็นกองที่ 2 เพื่อเปิดโอกาสเพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุน หลังจากที่ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวลงแรง ขณะที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจระยะยาวยังคงแข็งแกร่ง
ล่าสุด ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ แนะนำให้ "เพิ่มพอร์ตลงทุน" (Overweight) ในหุ้นอินเดีย โดย ณ วันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย SENSEX อยู่ที่ระดับ 25,867 จุด หรือปรับฐานลงมาถึง -6% ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเกือบเท่าจุดต่ำสุดของปีที่แล้ว ในขณะที่เป้าหมายในระยะ 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 31,000 จุด หรือเท่ากับยังเปิดอัพไซด์อีกประมาณ 20% จากปัจจุบัน
"ตลาดหุ้นอินเดียถือเป็นโอกาสใหม่ที่น่าลงทุน เรามองว่าการปรับฐานในช่วงที่ผ่านมาเป็นการปรับฐานเพียงระยะสั้นๆ โดยหากดูพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อินเดียยังคงเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในโลก และจะเป็นเพียงประเทศเดียวที่ GDP ขยายตัวมากกว่า 7% ตลอดช่วง 5 ปีจากนี้ โดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ประมาณการเศรษฐกิจอินเดียในปีนี้ไว้ที่ 7.2% และปี 2016-2017 อยู่ที่ 7.3% และ 7.4% ตามลำดับ ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียมีความน่าสนใจมาก" นายสาห์รัช กล่าว
โดย "กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8%#2" จะเน้นลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ผ่านกองทุนหลักคือ iShares MSCI India ETF ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟในตลาดหลักทรัพย์ BATS ในสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุน ให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี MSCI India Total Return ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินเดีย โดยมีเป้าหมายเลิกโครงการที่ 8% ภายใน 8 เดือน หรือ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหลังจากเปิดให้ซื้อขายสับเปลี่ยนได้ทุกวันทำการ ซึ่งการกำหนดเป้าหมายดังกล่าวไม่ใช่ประมาณการหรือการรับประกันผลตอบแทนว่าผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมายเมื่อเลิกกองทุน
ที่ผ่านมา บลจ. ทิสโก้ ออกกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ในซีรีย์หุ้นอินเดียมาแล้วทั้งสิ้น 1 กองทุน ได้แก่ "กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8%#1" และเข้าเป้าหมายเลิกโครงการที่ 8% หลังจากใช้ระยะเวลาบริหารกองทุนเพียง 1 เดือนเศษ โดย ณ วันที่ 13 พ.ย. 58 บลจ. ทิสโก้สามารถบริหารกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ ถึงเป้าหมายและเลิกโครงการแล้ว 65 กองทุน จากจำนวนทริกเกอร์ฟันด์ภายใต้การจัดการทั้งหมด 104 กองทุน
ทั้งนี้ "กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8%#2" มีมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 5,000 บาท เสนอขายครั้งแรก 17 – 23 พ.ย. 58 นี้ ผู้สนใจสามารถติดต่อ บลจ. ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา สอบถามรายละเอียดหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน
เนื่องจากกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
ตัวเลข 8% เป็นเพียงการกำหนดเป้าหมายที่เป็นเหตุให้มีการเลิกกองทุนหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเท่านั้น การกำหนดเป้าหมายดังกล่าวไม่ใช่ประมาณการหรือการรับประกันว่า ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนตามมูลค่าที่กำหนดเมื่อเลิกกองทุนหรือเมื่อมีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ทั้งนี้ หากภาวะตลาดหรือภาวการณ์ลงทุนเปลี่ยนแปลงไปจากคาดการณ์ กองทุนรวมอาจไม่ดำเนินการเลิกกองทุนหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติก็ได้ หรือหากหน่วยลงทุนมีมูลค่าไม่เป็นไปตามเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ลงทุนสามารถซื้อ/ขาย/สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ โดยที่เป้าหมายที่เป็นเหตุให้เลิกโครงการยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ซึ่งเป้าหมายเลิกโครงการเป็นเป้าหมายก่อนหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง (ถ้ามี)
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต