กรุงเทพฯ--18 พ.ย.--สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 อุบลราชธานี
สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่10 จ.อุบลราชธานี ร่วมกับภาคีฯเครือข่าย จัดงานรณรงค์วันเบาหวานโลก เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความตระหนักต่ออันตรายที่เกิดจากโรคเบาหวาน โดยการสร้างเสริมสุขภาพไม่ให้น้ำหนักตัวมากเกิน ดำรงชีวิตด้วยหลัก "3 อ. 2 ส."
เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 58 ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุบลราชธานี สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่10 จ.อุบลราชธานี ร่วมกับ ศูนย์อนามัยที่7 โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ เทศบาลตำบลเมืองอุบล และสำนักงานขนส่งจังหวัดอุบลราชธานี จัดงานรณรงค์วันเบาหวานโลก 14 พฤศจิกายนของทุกปี เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความตระหนักต่ออันตรายที่เกิดจากโรคเบาหวาน โดยการสร้างเสริมสุขภาพไม่ให้น้ำหนักตัวมากเกิน ดำรงชีวิตด้วยหลัก "3 อ. 2 ส." ได้แก่ อ.แรก - อาหาร เลือกรับประทานอาหารไม่หวานจัด มันน้อย เค็มน้อย รับประทานปริมาณเหมาะสม มีผักและผลไม้พอเหมาะ อ.2 - ออกกำลังกาย ประมาณ 50-60 นาที อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ หรือให้ได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ อ.3 - อารมณ์ ไม่ตึงเครียด จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม ทำจิตให้สงบ มีสมาธิ ส.แรก - งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงจากสถานที่ที่มีควันบุหรี่ ส.2 – งดดื่มสุรา
นพ.ศรายุธ อุตตมางคพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี (สคร.10) เปิดเผยว่า โรคเบาหวานเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยจำนวนมาก ในปี 2557 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวานทั้งหมด 11,389 คน หรือเฉลี่ยวันละ 32 คน ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ป่วยเป็นโรคเบาหวานนอกเหนือจากเรื่องของพันธุกรรมแล้ว คือพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ได้แก่ รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว อาหารที่มีความหวานจากน้ำตาล การรับประทานข้าวขาวในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งทำให้เสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ จะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนกับอวัยวะส่วนต่าง ที่สำคัญได้แก่ โรคเบาหวานเข้าจอประสาทตา เป็นสาเหตุที่สำคัญของการสูญเสียการมองเห็น โรคไตวายเรื้อรัง ภาวะแทรกซ้อนทางเท้า อุบัติการณ์การเกิดแผลเท้าเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดหัวใจ ดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดโรคเบาหวานอย่างมีประสิทธิภาพ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ งดการสูบบุหรี่ พักผ่อนหย่อนใจเพื่อลดความตึงเครียด หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข โทร. 1422 นพ.ศรายุธ กล่าวปิดท้าย