พรรคประชาธิปัตย์ ปิดจุดบอด ชูภาคเกษตรหาเสียง

ข่าวทั่วไป Monday November 6, 2000 10:18 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--6 พ.ย.--ปชป.
รายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยว่านโยบายเศรษฐกิจของพรรคที่จะใช้ในการหาเสียงในการเลือกตั้งที่ใกล้จะมีขึ้นนั้นนอกจากนโยบายด้านการเงินการคลัง การลงทุน พรรคยังให้ความสำคัญกับภาคเกษตรมากขึ้น โดยเฉพาะการปลดภาระหนี้ให้กับเกษตรกร และการพัฒนาภาคเกษตรถึงระดับรากฐานอย่างแท้จริง
สำหรับนโยบายโดยรวมของพรรคยังแน้นที่การดูแลนโยยายการคลังโดยการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างในภาคการเงินและภาคการค้าการลงทุนและบริการ โดยสาระสำคัญของนโยบายที่ใช้มีดังนี้
1.นโยบายด้านการคลัง
-รักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นอย่างมีเสถียรภาพ
-ลดอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 30%เป็น 25%ภายในระยะเวลา 4 ปี
-ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่การลงทุนด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการศึกษาของไทยให้ก้าวหน้าสู้นานาประเทศ
-ขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมหลายระดับควบคู่กับการลดภาระภาษีเงินได้และเพิ่มพูนการออม และยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแก่ผู้มีรายได้สุทธิไม่เกิน 70,000 บาทต่อปี
-สนับสนุนและให้แรงจูงใจแก่ผู้มีอาชีพครู นักวิทยาศาสตร์ และผู้ปฏิบัติการด้านสาธารณสุข
-จัดเก็บภาษีดูแลสิ่งแวดล้อมจากผู้ก่อความเสียหายแก่สภาพแวดล้อม
-ลดภาระหนี้สินและการค้าประกันของรัฐ รวมทั้งแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างมีประสิทธิภาพโปร่งใสให้เกิดประโยชน์สูงสุด
-สร้างงานสร้างรายได้ ด้วยการกระจายงบประมาณสู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึง
-เพิ่มพูนการออมในระยะยาวของประเทศ เพื่อความยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจ
2.นโยบายด้านการเงิน
-รักษาองค์ประกอบของนโยบายการเงินทั้ง3ด้านคือ ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ และอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศให้สอดคล้องสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์
-ดูแลอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมประมาณ 3%ต่อปี
-พัฒนาตลาดทุนให้ทันสมัย กำกับสถาบันการเงินให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนโลก
-ปรับปรุงกฎหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกำกับดูแลสถาบันการเงินอย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพสูงสุด
-ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เพื่อกำกับดูแลสถาบันการเงินให้มีสถานะมั่นคงขึ้น
-พัฒนาตราสารหนี้และอนุพันธ์ทางการเงินใหม่เพื่อให้เป็นแหล่งระดมเงินออมของประเทศ
3.นโยบายด้านการค้าการลงทุนและบริการ
-ส่งเสริมความร่วมมือกับนานาชาติ สร้างพันธมิตรบนเวทีโลก
-ปฏิรูปโครงสร้างทุกระบบและเพิ่มความสามารถในการพึ่งพาตนเอง
-ส่งเสริมข้อตกลงทางการค้าทุกระดับ ทั้งในระดับพหุพาคี ภูมิภาคและทวิภาคี
-พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อพัฒนาประเทศเชิงยุทธศาสตร์และการกระจายความเจริญสู่ต่างจังหวัด
-พัฒนาความร่วมมือและลดข้อจำกัดด้านการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน
-เพิ่มงบประมาณการลงทุนด้านวิจัยพัฒนาให้เป็น1%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ
-ผลักดันตราสินค้าไทยให้ก้าวไกลได้มาตรฐานโลก
-นำเทคโนโลยีพาณิชย์อิเลคทรอนิคส์มาใช้เร่งนำรายได้จากการส่งออก
-จัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาการค้าแห่งชาติ เสริมประสิทธิภาพภาคส่งออก
-จัดหาแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ 5%เพื่อพัฒนาพาณิชย์นาวี
4.นโยบายด้านเศรษฐกิจผู้บริโภคและป้องกันการผูกขาด
-ปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
-พัฒนากลไกรัฐ พิทักษ์ ผลประโยชน์ผู้บริโภค
-รณรงค์ทุกฝ่ายในสังคมร่วมลดการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือย
-ส่งเสริมสินค้าธรรมชาติอย่างครบวงจรร่วมใช้ทรัพยากรเท่าที่จำเป็น
5.ภาคเกษตร
-พัฒนาสาขาเศรษฐกิจที่มีรากฐานจากภาคเกษตร
-แก้ไขปัญหาภาคเกษตรถึงระดับรากฐานอย่างแท้จริงและครบวงจร
-ปฏิรูปเทคโนโลยี เพิ่มขีดความสามารถในการผลิตและการตลาด
-ฟื้นฟูคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย ปลดเปลื้องภาระหนี้สินเกษตรกรอย่างแท้จริง
-พัฒนากลไกในการบริหารหนี้สินเกษตรกรของคณะกรรมการบริหารหนี้สินเกษตรกรแห่งชาติให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
-ส่งเสริมภาคเกษตรใช้วัตถุดิบภายในประเทศให้มากขึ้น
-ปรับตัวเข้าสู่เกษตรแบบเศรษฐกิจใหม่ด้วยการผนวกเทคโนโลยีใหม่กับภูมิปัญญาท้องถิ่น
-พัฒนาผลิตภัณฑ์เกษตรให้ตรงความต้องการของตลาด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้า
-ควบคุมดูแลปัจจัยการผลิตทางการเกษตรให้อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม
-จัดตั้งโครงการวิจัยประยุกต์สำหรับชุมชนการเกษตรและโครงการเทคโนโลยีชุมชน เพื่อยกระดับการผลิตของประเทศ
-เสริมการพัฒนานวัตกรรมและความคิดใหม่ให้แข่งขันได้กับนานาประเทศ
--จบ--
-สส-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ