กรุงเทพฯ--23 พ.ย.--TDRI
"ทีดีอาร์ไอเผยผลงานวิจัยชี้ว่า การเจรจาต่อรองระหว่าง เกษตรกรที่อยู่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ สามารถเป็นทางออกที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และความเป็นธรรมของการจัดสรรทรัพยากรน้ำ และลดความขัดแย้ง ที่เกิดขึ้นซ้ำซาก"
ภาพอากาศที่แปรปรวนในปัจจุบัน ทำให้เกิดภัยแล้ง ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทำให้หลายภาคส่วนได้รับความเดือดร้อน โดยเฉพาะภาคเกษตร ซึ่งเจอปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับทำการเพาะปลูก นอกเหนือจากสภาพอากาศที่แปรปรวนแล้วการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศในอนาคตยังจะส่งผลให้ปัญหาการขาดแคลนน้ำทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ปัญหาภัยแล้งยังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิด "ศึกแย่งชิงน้ำ" และเกิดความขัดแย้งกันระหว่างกลุ่มผู้ใช้น้ำ โดยเฉพาะระหว่างกลุ่มเกษตรกรต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เนื่องจากกลุ่มเกษตรกรต้นน้ำสามารถสูบน้ำได้ก่อน ดังนั้นในช่วงหน้าแล้ง น้ำอาจจะไม่เหลือให้กลุ่มปลายน้ำใช้ในการเพาะปลูก ซึ่งใกล้เคียงกับสถานการณ์ภัยแล้งในปัจจุบัน
กุญแจสำคัญอันหนึ่งในการช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้ง คือ การเพิ่มประสิทธิภาพและความเป็นธรรมในการจัดสรรน้ำที่มีจำกัด
ดร. ตรีนุช ไพชยนต์วิจิตร นักวิชาการทีดีอาร์ไอ ในโครงการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก International Development Research Centre (IDRC) มองว่า ปัญหาดังกล่าวสะท้อนถึงความสำคัญของการส่งเสริมให้เกษตรกรใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบการจัดสรรน้ำระหว่างกลุ่มผู้ใช้น้ำต่างๆ อย่างเป็นธรรม
เพื่อหาคำตอบให้ปัญหาดังกล่าว ทีดีอาร์ไอได้มีโครงการวิจัยเชิงทดลอง (Behavioral and Experimental Research) เพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้น้ำและแนวทางการบริหารจัดการน้ำอย่างมีส่วนร่วมของผู้ใช้น้ำกลุ่มต่างๆ เพื่อ ลดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ใช้น้ำและจัดสรรทรัพยากรน้ำร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม โดยได้เชิญกลุ่มตัวแทนเกษตรกรจากพื้นที่ภาคกลางมาร่วมแสดงบทบาทเป็น "ชาวนา" ในแบบจำลองพื้นที่การเกษตรที่ได้ถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม คือ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ซึ่งในแบบจำลองนี้ชาวนาแต่ละคนมีที่นาสำหรับปลูกข้าวเป็นของตนเอง โดยมีน้ำเป็นปัจจัยในการผลิต
ทั้งนี้ ชาวนาจะถูกสุ่มให้ไปอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ในแบบจำลอง โดยชาวนาที่ถูกกำหนดบทบาทให้อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำได้รับน้ำก่อน ซึ่งชาวนากลุ่มนี้สามารถร่วมกันตกลงกับสมาชิกในกลุ่มว่า จะสูบน้ำไว้เพื่อใช้ในการเพาะปลูกปริมาณมากน้อยเพียงใด จากนั้นน้ำที่เหลือจะไหลไปสู่กลางน้ำ และปลายน้ำตามลำดับ และเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ชาวนาตัดสินใจเสมือนกับทำการเกษตรจริง ในตอนท้ายของการทดลอง ชาวนาจะได้รับเงินในจำนวนเท่ากับมูลค่าของผลผลิตทางการเกษตรที่ผลิตได้ตลอดการทดลองตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยในการทดลองแต่ละรอบ หรือแต่ละ "ปีการเพาะปลูก" จะแบ่งออกเป็น 2 ฤดู เริ่มจากฤดูฝนซึ่งมีปริมาณน้ำถูกปล่อยออกมามากและเพียงพอสำหรับใช้ในการเพาะปลูก ตามด้วยฤดูแล้งซึ่งมีปริมาณน้ำถูกปล่อยออกมาน้อยและไม่เพียงพอต่อความต้องการ และในบางปีจะแล้งจัดซึ่งปริมาณน้ำที่ถูกปล่อยออกมาจะน้อยกว่าฤดูแล้งทั่วไป
นักวิจัยได้จำลองสถานการณ์ (Treatment) ที่มีการกำหนดเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกเป็น 3 สถานการณ์ เพื่อศึกษาว่าสถานการณ์ใดสามารถทำให้ชาวนาในแต่ละพื้นที่ใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและมีการจัดสรรอย่างเป็นธรรมมากที่สุด โดย สถานการณ์ที่ 1 กำหนดให้ชาวนาสูบน้ำเพื่อทำการเกษตรตามปกติ โดยไม่มีการพูดคุยกันระหว่าง ต้นน้ำกลางน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ (Control Treatment) ในขณะที่สถานการณ์ที่ 2 กำหนดให้ชาวนาทุกกลุ่มสามารถเจรจาต่อรองกันก่อนมีการปล่อยน้ำว่าแต่ละกลุ่มต้องการสูบน้ำในปริมาณเท่าไร ทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง (Negotiation Treatment) และสถานการณ์ที่ 3 กำหนดให้ชาวนาทุกกลุ่ม สามารถทำการซื้อขายน้ำข้ามกลุ่มได้หลังจากมีการเจรจาต่อรองกันแล้ว (Trade Treatment)
ผลจากการทดลองพบว่า ในสถานการณ์ที่มีการเจรจาต่อรอง และสามารถซื้อขายน้ำข้ามกลุ่มได้ ชาวนาจะสามารถผลิตข้าวได้มูลค่ารวมกันสูงกว่าสถานการณ์ที่ไม่มีการเจรจาต่อรอง ภายใต้ทรัพยากรน้ำปริมาณเท่ากันซึ่งหมายความว่าชาวนาใช้น้ำได้มีประสิทธิภาพมากกว่าหากมีการเจรจาต่อรองกัน หรือมีการซื้อขายน้ำกันเมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ไม่มีการเจรจากันข้ามกลุ่ม
ผลการศึกษายังพบอีกว่าในสถานการณ์ที่มีการเจรจา ชาวนาที่อยู่ปลายน้ำจะมีรายได้จากการปลูกข้าวสูงขึ้นจนใกล้เคียงกับชาวนาที่อยู่ต้นน้ำและกลางน้ำ นั้นหมายความว่าการเจรจาระหว่างชาวนาช่วยสร้างความเป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากรน้ำระหว่างลุ่มน้ำได้
นอกจากนี้ นักวิจัยได้เก็บข้อมูลความคิดเห็นจากเกษตรกรที่ได้ประสบการณ์ทั้งสามสถานการณ์ เกี่ยวกับความพึงพอใจในการบริหารน้ำในแต่ละรูปแบบ แล้วพบว่าเกษตรกรพึงพอใจและต้องการให้เกิดการเจรจากันระหว่างกลุ่มผู้ใช้น้ำเพื่อตกลงปริมาณน้ำที่จะสูบ มากกว่าสถานการณ์ที่ไม่สามารถพูดคุยกันระหว่างกลุ่มผู้ใช้น้ำ หรือสถานการณ์ที่มีการซื้อขายน้ำกัน
ดังนั้น ถึงแม้ว่าการที่ชาวนาสามารถซื้อขายน้ำได้จะเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารน้ำและเพิ่มความเป็นธรรม แต่ขณะเดียวกันกลุ่มผู้ใช้น้ำไม่นิยมที่จะให้มีการจัดการน้ำในรูปแบบนี้
การเจรจาระหว่างชาวนาต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับอีกสองสถานการณ์ ซึ่งสามารถนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม เนื่องจากชาวนาที่อยู่ในพื้นที่ท้ายน้ำซึ่งมีความเสียเปรียบด้านทำเลที่ตั้งจะมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับชาวนาต้นน้ำและกลางน้ำ
ดังนั้น รัฐบาลควรสร้างกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรจากต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ สามารถเจรจาต่อรองเรื่องน้ำร่วมกัน และมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำด้วยตนเอง ซึ่งในปัจจุบันมีหลายพื้นที่ๆ ใช้แนวทางนี้ ยกตัวอย่างเช่นพื้นที่ "เขื่อนกระเสียว" จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งนับเป็นตัวอย่างที่ดีของการบริหารจัดการน้ำโดยเกษตรกรผู้ใช้น้ำ "ตัวจริง" ในขณะที่บางพื้นที่ การบริหารจัดการน้ำยังคงเป็นอำนาจหน้าที่ของทางราชการ หรือผู้มีตำแหน่งทางปกครองซึ่งอาจไม่สามารถการันตีได้ว่าการจัดสรรทรัพยากรน้ำจะมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม การทำให้กลไกแบบใหม่นี้มีประสิทธิผล ภาครัฐควรมีส่วนร่วมโดยการเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ช่วยสนับสนุนการเจรจาระหว่างกลุ่มผู้ใช้น้ำ และเป็นผู้ไกล่เกลี่ยหากมีความขัดแย้งเกิดขึ้น
เผยแพร่โดย
ทีมสื่อสารสาธารณะ-ทีดีอาร์ไอ
โทร.02-270-1350 ต่อ 113 หรือ 083-0648163