กรุงเทพ--17 ก.พ.--โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์
โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ รุกครั้งใหญ่ระดมทุนอีก 1,300 ล้านบาท ใช้สำหรับลุยซื้อสินทรัพย์ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งแนวราบและแนวสูง เพื่อการลงทุนในการขยายกิจการ
นายกิตติ ธนากิจอำนวย ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะเดินหน้ารุกครั้งใหญ่ โดยมีการระดมทุนเพิ่มอีก 1,300 ล้านบาท ในการลงทุนเพื่อใช้ซื้อสินทรัพย์ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขยายกิจการ โดยล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 2/2543 (วานนี้) ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้บริษัทออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพชนิดระบุชื่อผู้ถือที่ให้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญของบริษัทจำนวน 750 ล้านบาท โดยเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนในวงจำกัดโดยเฉพาะเจาะจง จำนวนไม่เกิน 35 ราย และ/หรือ ผู้ลงทุนที่มีลักษณะหรือจัดอยู่ในประเภทผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนในต่างประเทศ ตามประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินอัตราเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เรียกจากลูกค้าชั้นดี (MLR) ต่อปี ของธนาคารพาณิชย์ไทย 4 แห่ง โดยได้กำหนดราคาแปลงสภาพไม่ต่ำกว่าราคา 15 บาทต่อหุ้น ซึ่งราคาที่แน่นอนจะมีการกำหนดอีกครั้งหนึ่ง โดยได้กำหนดอายุของหุ้นกู้แปลงสภาพไม่เกิน 5 ปี โดยมีจำนวนหุ้นที่สำรองไว้เพื่อรองรับการแปลงสภาพไม่เกิน 50 ล้านหุ้น
ในส่วนต่างของเงินทุนที่เหลืออีก 550 ล้านบาท จะเกิดจากเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่บริษัทได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นไปแล้วก่อนหน้านี้ ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 10 บาท ซึ่งราคาขายที่แน่นอนจะมีการกำหนดราคาอีกครั้งหนึ่ง การออกหุ้นเพิ่มทุนและหุ้นกู้แปลงสภาพนี้จะมีผลให้บริษัทมีวงเงินเพิ่มสำหรับการลงทุน เพื่อขยายกิจการอีกเป็นจำนวน 1,300 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทสามารถที่จะบริหารต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพในอัตราภาระที่ต่ำกว่าอัตราต้นทุนทางการเงินโดยเฉลี่ยของท้องตลาด
นายกิตติกล่าวต่อไป ถึงแผนการลงทุนว่า ทางโนเบิลมีแผนที่จะนำเงินทุนจำนวนนี้ทั้งหมด ไปใช้ซื้อสินทรัพย์ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา หรือพัฒนาแล้วเสร็จ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในประเภทต่าง ๆ ทั้งแนวราบและแนวสูง อาทิ โครงการบ้านจัดสรรระดับราคา หลังละ 1.8 ล้านบาทขึ้นไป, โครงการทาวน์เฮาส์ ระดับราคาหลังละ 600,000 บาทขึ้นไป, โครงการอาคารชุดที่พักอาศัย ระดับราคาประมาณยูนิตละ 1.5 ล้านบาทขึ้นไปและรวมถึงโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์, อาคารสำนักงาน และโรงแรม เป็นต้น คาดว่าการลงทุนที่จะมีขึ้นนั้น จะก่อให้เกิดผลตอบแทนต่อบริษัทฯ ไม่ต่ำกว่าปีละ 25%
ซึ่งจากแผนการลงทุนดังกล่าวนี้ บริษัทคาดว่า จะสามารถใช้เงินลงทุนทั้งหมดที่ระดมครั้งนี้ได้ทั้งหมดภายในไตรมาสที่สองของปีนี้ และบริษัทก็ยังมีแผนการที่จะระดมทุนเพิ่มเติมผ่านทางทั้งการขายหุ้นสามัญ และตราสารหนี้อื่น ๆ ภายในไตรมาสที่สามของปีนี้อีกระรอกหนี่ง--จบ--