กรุงเทพฯ--26 พ.ย.--IR network
"นพชัย วีระมาน"สุดปลื้ม หุ้น KOOL เข้าเทรดตลาด MAI วันแรก สร้างผลตอบแทนสุดประทับใจ ปิดตลาดที่ 2.74 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 52.22% เทียบจากราคา IPO1.80 บาท สะท้อนปัจจัยพื้นฐานแกร่ง สินค้าพัดลมไอน้ำ-พัดลมไอเย็น ยอดขายพุ่งทุกปี วางแผนปี"59 เตรียมเปิดตัวสินค้าพัดลมไอเย็นรุ่นใหม่ เจาะตลาดในครัวเรือน โชว์นวัตกรรมใหม่ ที่ทำความเย็นได้มากขึ้น กินไฟน้อยลง แต่ราคาถูกกว่าเดิม ยอดขายเติบโตโดดเด่น หลังได้เงินทุนเสริมความแข็งแกร่ง ด้าน บล.ทรีนีตี้ ชี้ราคายืนเหนือจองและให้ผลตอบแทนที่ดี เหตุนักลงทุนเชื่อมั่นอนาคตสดใส และมีราคาที่เหมาะสม
บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (KOOL) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก ในวันนี้ (23 กันยายน 2558) โดยเปิดตลาดที่ระดับ3.54 บาท เพิ่มขึ้น 1.74 บาท หรือ 96.67% จาก IPO ที่ 1.80 บาทต่อหุ้น ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายราคาปรับตัวสูงสุดที่ 3.68 บาท ก่อนปิดตลาดที่ 2.74 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 0.94บาท หรือ 52.22% จากราคา IPO โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวม 1,960,853 ล้านบาท
นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (KOOL) เปิดเผยว่า วันนี้ได้รับการต้อนรับจากนักลงทุนอย่างคึกคัก คงเป็นเพราะนักลงทุนมองเห็นแนวโน้มในอนาคตธุรกิจของ KOOL จะขยายตัวได้อีกมาก จากปริมาณความต้องการของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มหันมาใช้พัดลมไอเย็นเป็นตัวเลือกในการแก้ปัญหาอากาศร้อนมากขึ้น จากเดิมที่มีเพียงแอร์กับพัดลมธรรมดาเท่านั้น และเชื่อว่าในอนาคตหากมีการทำการตลาดมากขึ้นผู้บริโภคจะรู้จักพัดลมไอเย็นมากยิ่งขึ้น ซึ่งการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะทำให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น มีฐานทุนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทำให้สามารถขยายธุรกิจต่อไปได้มากขึ้น ซึ่งสินค้าของ KOOL ยังประกอบด้วย พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ พัดลมอุตสาหกรรม รวมถึงสินค้านวัตกรรมด้านโอโซน ที่ผลิตและจัดจำหน่ายโดย บริษัทลูก คือ อินโนว์ กรีน โซลูชัน จำกัด
"ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคได้หันมาสนใจในกระแสลดโลกร้อนมากขึ้น ซึ่งสินค้าพัดลมไอเย็นของแบรนด์ MASTERKOOL ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะทำความเย็นได้จริง ช่วยลดอุณหภูมิได้ แต่ประหยัดไปมากกว่าการใช้แอร์กว่า 10 เท่า โดยในปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น ทำความเย็นได้มากขึ้น แต่มีต้นทุนถูกลง และจะเน้นเจาะตลาดลูกค้าในครัวเรือน นอกจากนี้ กระแสด้านการรักสุขภาพก็ยังช่วยให้การตอบรับสินค้าโอโซนได้รับการตอบรับดี เพราะสามารถพัฒนาเป็นเครื่องล้างผัก ที่สามารถชำระล้างสารเคมีตกค้างในผักได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถพัฒนาไปสู่สินค้าและบริการอื่นๆ เช่น บำบัดน้ำเสีย และเครื่องดับกลิ่นรองเท้า เป็นต้น" นายนพชัย กล่าวในที่สุด
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai แล้ว บริษัทมั่นใจว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะมีความพร้อมด้านเงินทุนมากขึ้น ซึ่งเป้าหมายการเติบโตในอนาคตก็จะสอดคล้องกับที่ผ่านมา โดย 3 ปีที่ผ่านมารายได้เติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 40% ขณะที่ 6 เดือนแรกของปีนี้รายได้เติบโตขึ้นประมาณ 40%
ด้านนางสาวสุธางค์ คนศิลป กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (KOOL) ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้ KOOLสร้างผลงานได้น่าประทับใจ โดยให้ผลตอบแทนมากถึง 52.22%% ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการกำหนดขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ที่เหมาะสม ประกอบกับ KOOLเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และในอนาคตลูกค้าทั้งรายย่อยและองค์กรจะเติบโตควบคู่กัน อีกทั้งยังมีตลาดส่งออกที่มากถึงเกือบ 40 ประเทศ ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้น และเชื่อว่าหุ้น KOOL จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องหลังจากเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ไปแล้ว
"ชื่อเสียงของ KOOL จากนี้ จะเป็นที่รู้จักและยอมรับมากยิ่งขึ้นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และการระดมทุนครั้งนี้ทำให้บริษัทมีฐานทุนที่แข็งแกร่ง สามารถนำไปขยายธุรกิจเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น ซึ่งคาดว่าการเติบโตจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นได้ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ดังนั้น KOOL จึงถือเป็นหุ้นน้องใหม่ที่น่าสนใจ และน่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องหลังจากนี้" นางสาวสุธางค์ กล่าวในที่สุด