กรุงเทพฯ--2 มี.ค.--แอล.พี.เอ็น.ฯ
แอล.พี.เอ็น.ฯ แจงผลประกอบการปี 2543 ดีขึ้นถึงร้อยละ 86% เป็นผลมาจากการดำเนินการขายอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถลดภาระดอกเบี้ยจ่ายลงไปได้มาก อีกทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ได้ทั้งหมด ส่งผลให้มีกำไรเพิ่มขึ้นอีก 74.67 ล้านบาท ชี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2544 ยังไม่กระเตื้อง แต่ผู้ซื้อยังมีความต้องการ เมื่อบวกประสบการณ์ความเป็นมืออาชีพด้านอาคารชุด มั่นใจโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในย่าน CBD เดือนมีนาคมนี้ไปได้แน่นอน
- - ลุมพินี ทาวเวอร์ 1 มีนาคม 2544
บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) นำโดยนายทิฆัมพร เปล่งศรีสุข กรรมการผู้จัดการ ชี้แจงถึงผลประกอบการในปี 2543 ว่า มีผลประกอบการดีขึ้นจากปี 2542 โดยมีรายได้รวม 460.23 ล้านบาท ในปี 2543 เปรียบเทียบกับปี 2542 ซึ่งมีรายได้รวม 446.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.92 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.12 ส่วนผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในปี 2543 มีผลขาดทุน 54.94 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับผลขาดทุนในปี 2542 จำนวน 381.85 ล้านบาท เห็นได้ชัดว่ามีผลประกอบการดีขึ้นถึงร้อยละ 326.91 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 85.61 อันเป็นผลมาจากการลดภาระดอกเบี้ยจ่ายลงจาก 281.84 ล้านบาท ในปี 2542 เหลือเพียง 23.69 ล้านบาท ในปี 2543 ประกอบกับบริษัทฯ และบริษัทย่อยสามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ทั้งหมดในปี 2543 จึงมีผลกำไรจากกิจกรรมดังกล่าวอีกจำนวน 74.67 ล้านบาท ในส่วนของกระแสเงินสด ณ สิ้นปี 2543 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีเงินสดคงเหลือจำนวน 27.07 ล้านบาท และปัจจัยสำคัญก็คือสามารถลดสินค้าคงเหลือได้ถึง 316.82 ล้านบาท และคืนเงินกู้ยืมทุกรายการจำนวน 254.49 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ มองว่ายังคงไม่กระเตื้องเนื่องจากปัญหา over supply อีกทั้งมีการแข่งขันในตลาดสูงทั้งด้านสินทรัพย์จาก AMC ของสถาบันการเงินที่ทยอยนำออกขาย โดยยอดจากธนาคารพาณิชย์ 14 แห่ง แสดงตัวเลขสินทรัพย์รอขายสูงถึง 9 หมื่นล้านบาท ราคาตลาดของสินค้าที่ยังอยู่ในระดับต่ำ การที่สถาบันการเงินยังไม่ปล่อยสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกฎหมายและพรบ. ที่ควบคุมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายฉบับ เช่น พรบ.ควบคุมอาคารชุด ปี 2543, กฎหมายอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ทำให้การพัฒนาโครงการมีต้นทุนสูงและใช้ระยะเวลามากขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม นโยบายการลดดอกเบี้ยเงินฝากและการแข่งขันด้านสินเชื่อรายย่อยของสถาบันการเงินยังคงมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อทรัพย์สินมากขึ้น
ในปี 2544 บริษัทฯ จึงได้กำหนดแนวทางในการดำเนินงานดังนี้คือ (1) พัฒนาโครงการอาคารชุดขนาดเล็ก ระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี (2) ร่วมทุนในการพัฒนาหรือรับบริหารทรัพย์สินของสถาบันการเงิน (3) กำหนดหนี้สินในปี 2544 ไม่เกิน 500 ล้าน (4) ตั้งเป้ายอดขายและเช่า ในปี 2544 ประมาณ 630 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายโครงการพี.เอส.ที. ซิตี้โฮม และพี.เอส.ที. คอนโดวิลล์ 100 ล้านบาท ยอดขายจากโครงการลุมพินี เซ็นเตอร์ เฟส 2 และ 3 จำนวน 200 ล้านบาท โครงการลุมพินี เพลส สาทร จำนวน 300 ล้านบาท และรายได้จากการให้เช่าทรัพย์สินอีกประมาณ 30 ล้านบาท (5) เพิ่มประสิทธิภาพของบุคลากรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และ (6) ยืดระยะเวลาการเพิ่มทุนของบริษัทฯ ออกไป เนื่องจากปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์อยู่ในช่วงขาลง จึงไม่เอื้ออำนวยต่อการเพิ่มทุนของบริษัทฯในระยะนี้ อีกทั้งความสำเร็จจากกิจกรรมการขายที่ผ่านมา ทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาเสริมสภาพคล่องของบริษัทมากขึ้น
นอกจากนี้ นโยบายของบริษัทซึ่งยึดถือและดำเนินการมาตลอดก็คือ การไม่เพิ่ม Land Bank มากเกินไป เนื่องจากจะเป็นภาระต่อผู้ประกอบการมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีให้บริษัทฯ ไม่ประสบปัญหาจากจุดนี้ในช่วงที่เกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ ในส่วนภาระหนี้จำนวน 3,000 ล้านบาท บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เสร็จสิ้นแล้วทั้งหมดในปี 2543 ทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายในปี 2544 จะคงเหลือเพียง 20 ล้านบาทเท่านั้น
ในส่วนของโครงการซึ่งดำเนินการขายต่อเนื่องมาจากปี 2543 มี 2 โครงการ ได้แก่ พี.เอส.ที. ซิตี้โฮม และลุมพินี เซ็นเตอร์ (แฮปปี้แลนด์) เฟส 2 มูลค่าโครงการ 1,374 ล้านบาท และ 368 ล้านบาท ตามลำดับ และจะทำการเปิดตัวโครงการอาคารชุดพักอาศัยในเขต CBD อีก 1 โครงการ คือลุมพินี เพลส สาทร ริมถนนนราธิวาสราชนครินทร์ มูลค่า 342 ล้านบาท ในเดือนมีนาคมนี้ ด้วยเครดิตความเป็นมืออาชีพและศักยภาพของโครงการ อีกทั้งในช่วงปี 2543 ที่ผ่านมา แทบไม่มีการพัฒนาโครงการใหม่ในเขต CBD ในขณะที่ความต้องการยังคงมีอยู่ บริษัทฯ จึงเชื่อมั่นว่าลุมพินี เพลส สาทร จะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า
สมศรี เตชะไกรศรี
ผู้จัดการสำนักกรรมการผู้จัดการ
โทร. 285-5011-6 ต่อ 130--จบ--
-อน-