กรุงเทพฯ--30 พ.ย.--ชมรมนักวิจัยไทยเพื่อความสุขชุมชน
ผลวิจัยพบ ช่องโหว่กฎหมายแรงงานทำไทยเดินตามต่างชาติ แนะปรับแก้ให้เป็นเอกภาพกับกฎหมายต่อต้านการค้ามนุษย์เป็นองค์ประกอบเดียวกัน ปกป้องผลประโยชน์ชาติและเงินในกระเป๋าของประชาชนทุกคน สกัดข้ออ้างในรายงานของต่างชาติโจมตีและกีดกันสินค้าไทย ชี้ถ้าไม่เกิดยุคนี้ก็ยากจะเกิดได้ในยุคการเมืองดั้งเดิม
ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ ชมรมนักวิจัยไทยเพื่อความสุขชุมชน หัวหน้าโครงการวิจัยเชิงคุณภาพร่วมกับ นายศรัณย์พงศ์ ฟุ้งเกียรติ นักศึกษาปริญญาเอก สาขาอาชญาวิทยาและกระบวนการยุติธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล ค้นคว้าเอกสาร สัมภาษณ์เจาะลึกบุคคลกุญแจสำคัญ เจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยและต่างชาติ องค์การระหว่างประเทศ และเหยื่อค้ามนุษย์ พบความเป็นไปได้ที่รัฐบาลและ คสช. จะมีผลงานทำให้ประเทศไทยหลุดจากเทียร์ 3 ในรายงานของกระทรวงต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา เพราะประเทศไทยมีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์และการดำเนินการเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนรู้เห็นในการค้ามนุษย์รวมถึงดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดบังคับใช้แรงงานในเรือประมงและผู้ก่ออาชญากรรมการค้ามนุษย์เพื่อธุรกิจทางเพศ แต่การที่ประเทศไทยติดเทียร์ 3 สองครั้งติดกันเพราะเป็นการพิจารณาข้อมูลก่อนสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่การจัดอันดับครั้งต่อไปจะใช้ข้อมูลตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา ผลวิจัยล่าสุดพบช่องโหว่กฎหมายแรงงาน
"กฎหมายแรงงานต้องได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วนเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยตกเป็นเบี้ยล่างถูกอ้างเพื่อจัดอันดับประเทศไทยให้อยู่ที่เดิมอีก นั่นคือ กฎหมายแรงงานควรมีบทบัญญัติเฉพาะเรื่องการต่อต้านแรงงานบังคับโดยแรงงานบังคับหมายถึง งานหรือบริการทุกประเภทที่ผู้ว่าจ้างได้บังคับให้ลูกจ้างจำยอมต้องทำงานโดยไม่เป็นไปตามสัญญาจ้างหรือตามกฎหมายรวมถึงการกระทำด้วยประการใดๆ ที่ทำให้ลูกจ้างอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนหรือหลีกเลี่ยงได้และจำต้องตกอยู่ในสภาวะจำยอมที่ต้องทำงานให้นายจ้างต่อไปโดยนอกเหนือไปจากข้อตกลงหรือบังคับทำงานนอกเหนือกฎหมายผิดครรลองครองธรรม เช่น ทำร้าย ข่มขู่ ข่มขืนใจ หน่วงเหนี่ยว กักขัง หลอกลวง หรือยึดเอกสารส่วนตัว ฯลฯ ทั้งนี้ให้หมายความรวมถึงการบังคับใช้แรงงานหรือบริการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ด้วย" ดร.นพดล กล่าว
ผอ.ศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ กล่าวว่า ผลวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีกฎหมายที่ป้องกันได้ทุกมิติอย่างครอบคลุม ไม่ให้เกิดการหลุดรอดของผู้กระทำผิดในขบวนการค้ามนุษย์ นายจ้างที่บังคับใช้แรงงานและการใช้แรงงานเด็กเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ข้อเสนอให้อุดช่องโหว่ทางกฎหมายนี้น่าจะเป็นการทำงานเชิงรุกของรัฐบาลและ คสช. ที่ทำให้เกิดมาตรการทางกฎหมายที่เป็นเอกภาพรวมเป็นองค์ประกอบทางกฎหมายเดียวกันและการเกิดองค์กรกลางถาวรที่ดูแลต่อต้านการค้ามนุษย์ทั้งระบบเหมือน หน่วยงาน ป.ป.ส. ออกมาเป็น ป.ป.ม. คือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จะช่วยให้เปลี่ยนสถานภาพประเทศไทยจากการถูกคาดโทษมาเป็นผู้นำต่อต้านการค้ามนุษย์ในภูมิภาคอาเซียนได้และถ้าไม่เกิดในรัฐบาล ยุคของ คสช. นี้ คงยากที่จะเกิดในยุคการเมืองแบบดั้งเดิม