กรุงเทพฯ--19 ก.ค.--บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเมนท์
ไทยทีวีสีช่อง 3 จับมือกับ บริษัทบีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด บริษัทผู้จัดการแสดงยิ่งใหญ่ระดับแนวหน้าของประเทศ ร่วมด้วย จีเอสเอ็ม 2 วัตต์ , เบียร์มิทไวด้า พร้อมแล้วที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการดนตรีอีกครั้ง หลังจากที่เคยสร้างผลงานใหญ่ระดับประเทศด้วยคอนเสิร์ตของศิลปินที่โด่งดังระดับโลกมาแล้วมากมาย อาทิเช่น ไมเคิล แจ็คสัน , เจเน็ต แจ็คสัน , ฟิล คอลลิ่นส์ , แอร์ ซัพพลาย , ร็อด สจ็วต , วิทนีย์ ฮุสตัน ฯลฯ ในครั้งนี้ บีอีซี-เทโรฯ ภูมิใจเสนอ วงดนตรีร็อคจาก แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และ โด่งดังที่สุดของอังกฤษในยุค 90's อย่าง วงโอเอซิส วงร็อคชื่อดังที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 1994 เพียงอัลบั้มแรกในชีวิตของพวกเขา Definitely Maybe ก็สามารถทำให้ชื่อเสียงของ วงโอเอซิส ดังเขย่าบัลลังก์ของวงร็อกทั่วเกาะอังกฤษ หลังจากนั้นมาทั่วทุกมุมโลก คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธชื่อเสียงที่โด่งดังไปพร้อมๆ กับเพลงของพวกเขา ในครั้งนี้พวกเขาบินตรงมาพบกับแฟนๆ ชาวไทยตามเสียงเรียกร้องที่มีสะสมมานานหลายปี กับคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในประเทศไทยของเขาคอนเสิร์ต Oasis Live in Bangkok 2001 " Familiar To Millions " ซึ่งการแสดงในครั้งนี้จะเป็นการแสดงจากอัลบั้ม Familiar To Millons ที่เป็นอัลบั้มบันทึกการแสดงสดแผ่นคู่ บรรจุ 18 เพลงดัง ที่ได้บันทึกเสียงจากการแสดงคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่ ท่ามกลางแฟนเพลง 70,000 คน ณ สนามเวมบลีย์ สเตเดี้ยม กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งจะเป็นเพียงโชว์เดียวในอาเซียนของ วงโอเอซิส หลังจากเสร็จสิ้นการแสดงที่ประเทศญี่ปุ่น โดย 2 พี่น้อง เลียม และ โนเอล กัลลาเกอร์ 2 แกนนำหลักของ วงโอเอซิส ประกาศที่จะเลือกมาเปิดการแสดงที่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียว ซึ่งแหล่งข่าวเปิดเผยว่า พวกเขาทั้งสองต้องการที่จะมาแสดงที่เมืองไทยเป็นอย่างมากเพราะทราบข่าวจากต้นสังกัด โซนี่ มิวสิค ไทยแลนด์ ว่า บรรดาเหล่าสาวก โอเอซิส ในเมืองไทย ต่างรอคอยการมาเปิดการแสดงของพวกเขามานานหลายปีแล้ว
สำหรับ คอนเสิร์ต Oasis Live in Bangkok 2001 " Familiar To Millions " จะเปิดการแสดงที่ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ใน วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2544 เวลา 18.00 น. โดยเปิดจองบัตรล่วงหน้าผ่านทาง www.thaiticketmaster.com ตั้งแต่ วันที่ 1 - 3 กรกฎาคม 2544 รับบัตร วันที่ 4 กรกฎาคม 2544 และเปิดจำหน่ายบัตรทั่วไปตั้งแต่วันศุกร์ที่ 6 กรกฏาคม 2544 ด้วยระบบออนไลน์ ผ่านทางเคาท์เตอร์ไทยทิคเก็ทมาสเตอร์ ณ ห้างเซ็นทรัล สาขาปิ่นเกล้า , บางนา , ลาดพร้าว , ชิดลม และ เซน เวิล์ดเทรด เซ็นเตอร์ บัตรราคา 600 บาท , 800 บาท , 1,200 บาท สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.262-3837
วงดนตรีร็อค จากแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ที่กลายเป็นร็อคสตาร์เพียงชั่วข้ามคืน และเป็นขวัญใจของแฟนเพลงทั่วโลก และคงไม่เกินไปหากจะเรียกพวกเขาว่าเป็นวงร็อคที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และโด่งดังที่สุดของอังกฤษในยุค 90
Oasis ยุคปัจจุบันประกอบด้วย 2 พี่น้องสุดแสบแห่งตระกูล Gallagher (กัลลาเกอร์) คือ Noel Gallagher (โนเอล กัลลาเกอร์, กีตาร์ และนักแต่งเพลง เกิด 29 พฤษภาคม 1967), Liam Gallagher (เลียม กัลลาเกอร์, น้องชาย นักร้องนำสุดซ่า เกิด 22 กันยายน 1972), Gem Archer (เจม อาร์เชอร์, กีตาร์), Alan White (อลัน ไวท์, กลอง) และ Andy Bell (แอนดี้ เบลล์, เบสกีตาร์) โดย Oasis นั้นเริ่มต้นจาก เลียม ร่วมกับ พอล อาร์เธอร์ส (กีต้าร์), พอล แม็กกีแกน (เบสกีตาร์) และ โทนี่ แมคแคร์โรล (กลอง) ตั้งวงกันขึ้นมาเดิมใช้ชื่อวงว่า "The Rain" และภายหลังจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Oasis ออกตระเวนทัวร์ไปทั่ว จนกระทั่ง โนเอล ผู้เป็นพี่ชายได้มีโอกาสไปดูการแสดงครั้งแรกของวง และทำให้เขาตัดสินใจที่จะเข้าร่วมวงด้วย และจากนั้นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็กำลังรอคอยพวกเขาอยู่ข้างหน้า…….. ด้วยฝีมือทางดนตรีที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมบวกกับอิทธิพลทางดนตรีจาก The Beatles ที่พวกเขาหลงใหล ผสมผสานความเป็นร็อค ที่มีเมโลดี้สวยงามลงตัว และเนื้อหาที่โดดเด่น กับเสียงร้องยานคาง อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมกับนิสัยส่วนตัวที่หยิ่งผยอง ยโสโอหัง ปากดี และความกวนประสาท ทั้งหมดคือองค์ประกอบของความสำเร็จ ที่ใครก็ลอกเลียนแบบพวกเขาไม่ได้ ที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จมากที่สุด ทั้งชื่อเสียงเกียรติยศ และเงินทอง
ในการแสดงคอนเสิร์ตครั้งหนึ่งของพวกเขาที่สก๊อตแลนด์ สร้างความประทับใจให้แก่ Alan McGee แห่ง Creation Records เป็นอย่างมาก เขาตัดสินใจเซ็นสัญญากับ Oasis ในทันที ทั้งๆ ที่มีบรรดาบริษัทแผ่นเสียงมากมายต่างต้องการเซ็นสัญญากับพวกเขา Oasis ออกซิงเกิ้ลแรก "Supersonic" เมื่อวันที่ 11 เมษายน 1994 เพลงร็อคแอนด์โรลสุดเย่อหยิ่งที่สร้างความฮือฮาอย่างมาก และขึ้นไปที่อันดับ 31 ใน UK Chart จากนั้นพวกเขาไม่รอช้า "Shakermaker" คือซิงเกิ้ลที่ 2 ที่ตามมา และขึ้นไปถึง Top 10, ต่อด้วยซิงเกิ้ล "Live Forever" จากนั้นก็ออกอัลบั้มแรก "Definitely Maybe" ออกมาเขย่าวงการเพลงร็อคของอังกฤษ เป็นช่วงเวลาแห่งการบันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่วงการเพลงอังกฤษอีกครั้งเมื่อ "Definitely Maybe" เป็นอัลบั้มเปิดตัวอัลบั้มแรกของศิลปินที่สามารถทำยอดขายได้อย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรีของอังกฤษ (the fastest selling debut in British history) และเข้าสู่ชาร์ทในอันดับที่ 1 โดยไม่ต้องสงสัย และสามารถอยู่ใน top 20 ได้ยาวนานกว่า 18 เดือนหลังจากออกวางจำหน่าย ส่วนที่นอกเกาะอังกฤษก็สามารถทำยอดขายสูงเกินกว่า 1 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก หลังจากนั้นก็ตัด "Cigarette and Alcohol" ออกเป็นซิงเกิ้ลใหม่และขึ้นถึงอันดับ 7 ในอังกฤษ ในเดือนตุลาคม จากวงหน้าใหม่ที่น่าจับตามองจากแมนเชสเตอร์ Oasis เริ่มสร้างสมความสำเร็จและกลุ่มแฟนเพลงมากขึ้นตามลำดับ ในฐานะ "The Next Big Thing"!!!
Oasis ก้าวขึ้นมาครองบัลลังก์ร็อคอังกฤษส่งท้ายปี 1994 ด้วยซิงเกิ้ลที่ขึ้นอันดับ 3 ในอังกฤษ "Whatever" เพลงพ๊อพสุดไพเราะด้วยดนตรีเครื่องสาย ที่ครองใจคนทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นแฟนเพลง หรือนักวิจารณ์ ที่ต่างหลงรักเพลงนี้ พวกเขาเริ่มต้นปี 1995 ด้วยความสำเร็จ Oasis ได้รับรางวัล Best Band, Best New Band และ Best Single (จากเพลง "Live Forever") จาก NME Brat Award ตามมาด้วยการคว้ารางวัลสำคัญ Best Newcomer จาก BRIT Award ในเดือนต่อมา 1995 พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามจากการทัวร์คอนเสิร์ต บัตรถูกขายหมดเกลี้ยงในทุกโชว์ แต่ โทนี่ แมคแคร์รอล มือกลองลาออกไป และได้ Alan White (อลัน ไวท์) ที่เคยอยู่กับ Paul Weller เข้ามารับตำแหน่งแทน และเริ่มต้นการทำงานสำหรับอัลบั้มที่ 2 ในเดือนเมษายน ปี 1995 ออกซิงเกิ้ล "Some Might Say" เป็นซิงเกิ้ลอันดับ 1 เพลงแรกของ Oasis ด้วยยอดขายสูงกว่า 300,000 ก๊อปปี้ ตามมาด้วยซิงเกิ้ลที่ 2 "Roll With It" ในเดือนสิงหาคม ด้วยยอดขายสูงถึง 400,000 ก๊อปปี้ ซึ่งวันเดียวกันกับที่วง Blur ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งตลอดกาลของ Oasis ก็ว่าได้ ออกซิงเกิ้ล "Country House" และแซงหน้า Oasis โดยขึ้นไปครองอันดับ 1 ในอังกฤษ จากนั้น 2 ตุลาคม ปี 1995 อัลบั้มที่ 2 "(What's The Story) Morning Glory" ออกวางจำหน่าย และขึ้นสู่อันดับ 1 ในอังกฤษในทันทีที่ออกวางจำหน่าย!!! และอีกครั้งที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เพลงร็อคของอังกฤษ เมื่ออัลบั้มนี้กลายเป็นอัลบั้มที่ขายได้รวดเร็วที่สุดในอังกฤษ (รองจากอัลบั้มชุด "Bad" ของ Michael Jackson ในปี 1987, "Brothers In Arms" ของ Dire Straits และอันดับ 3 "Greatest Hits" ของวง Queen) เป็นอัลบั้มระดับ Platinum 6 แผ่น นอกจากนี้ยังประสบความสำเร็จอย่างสูงทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นที่ฝรั่งเศส สวีเดน ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ ซึ่งล้วนแต่ขึ้นอันดับ 1 นอกจากนี้ยังเป็นอัลบั้มที่มียอดขายระดับ Gold ในอีกหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งอเมริกาที่ซึ่งอัลบั้มชุดนี้ "(What's The Story) Morning Glory" สามารถกระโดดขึ้นถึง อันดับ 5 ใน Billboard Chart อีกด้วย และ Oasis ยังคงทำลายสถิติของตัวเองด้วยซิงเกิ้ลต่อมา "Wonderwall" ในเดือนตุลาคมที่ขายไปได้มากถึง 600,000 ก๊อปปี้ ซึ่งนับว่าสูงมากเป็นประวัติการณ์ และเป็นเพลงที่ติด top 10 ยาวนานถึง 12 สัปดาห์ รวมทั้งยังข้ามฟากไปโด่งดังที่อเมริกาด้วยการเข้าอันดับที่ 22 ใน บิลบอร์ดชาร์ทอีกด้วย!!!ในปี 1996 Oasis ก็ปล่อยซิงเกิ้ลที่ 9 "Don't Look Back In Anger" เพลงบัลลาดจากเสียงร้องของ โนเอล และก็ไม่ผิดหวังที่เพลงนี้ขึ้นถึงอันดับ 1 ในอังกฤษ พร้อมยอดขายสูงถล่มทลายถึง 600,000 แผ่นเฉพาะในอังกฤษ!!! และเป็นเพลงอันดับที่ 1 เพลงที่ 2 ของ Oasis หลังจากเพลง "Some Might Say" Oasis ได้รับการเสนอชื่อรางวัล BRIT Award ถึง 6 รางวัล และกวาดไปได้ 3 รางวัล นั่นคือ Best Band, Best Album (จากอัลบั้ม What's the Story) Morning Glory) และ Best Video (จากเพลง Wonderwall) เดือนเมษายน ปีนั้น Oasis ได้ขึ้นปกนิตยสารดัง Rolling Stone ของอเมริกา ซึ่งเป็นการบอกให้โลกได้รับรู้ว่า พวกเขาประสบความสำเร็จในอเมริกาแล้ว!!! ถึงช่วงปลายปี เดือนพฤศจิกายน 1996 ในขณะที่ Oasis กำลังยุ่งอยู่กับการทำงานในอัลบั้มชุดที่ 3 ในสตูดิโอ พวกเขาได้รับรางวัล Best Group Of The Year จาก MTV ประจำปี 1996
Liam Gallagher, Noel Gallagher, Paul Arthurs, Paul McGuigan, Alan White มีเพลง "D'You Know What I Mean" เป็นซิงเกิ้ลแรกในรอบ 18 เดือนที่ Oasis นำมาแสดงสดเป็นครั้งแรกต่อหน้าแฟนเพลงจำนวนมหาศาลในคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ที่ Knebworth และกลายเป็นเพลงอันดับ 1 เพลงที่ 3 ของวงในเดือนกรกฎาคมปี 1997 จากอัลบั้มชุดที่ 3 "Be Here Now" ตามมาด้วยซิงเกิ้ลที่ 2 ของอัลบั้ม "Stand By Me" ขึ้นไปอันดับ 2 ในอังกฤษเมื่อกันยายน ปี 1997 คือหนึ่งในเพลงที่ดีที่สุดจาก Noel Gallagher ที่เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่ไม่แพ้บทเพลงคลาสสิคอย่าง "Hey Jude" ของ The Beatles เลยทีเดียว ซิงเกิ้ลต่อมา "All Around The World" ออกมาเมื่อมกราคม ปี 1998 สามารถขึ้นไปถึงอันดับ 1 ในอังกฤษอีกครั้ง และเพลงนี้กลายเป็นเพลงที่ถูกบรรดาแฟนๆเรียกร้องมากที่สุดในเวลาที่ Oasis แสดงคอนเสิร์ต
เดือนสิงหาคม ปี 1998 Paul Arthurs และ Paul McGuigan ลาออกจากวง ได้ Gem Archer จากวง Heavy Stereo มาแทนส่วน McGuigan นั้นได้ Andy Bell อดีตสมาชิกวง Ride และ Hurricane # 1 มารับหน้าที่แทน ในเดือนพฤศจิกายน Oasis ออกอัลบั้มพิเศษ "The Masterplan" ซึ่งเป็นอัลบั้มที่รวมเพลง B-side (เพลงแถมจากซิงเกิ้ลต่างๆ) ซึ่งทุกเพลงได้จากการโหวตของแฟนเพลงทั่วโลกผ่านทางอินเตอร์เนต มีเพลงเด่นอาทิ "Fade Away", "I Am The Walrus" คัพเวอร์จากเพลงเก่าของ The Beatles และเพลง "Half The World Away" เป็นต้น ช่วงต้นปี 2000 พวกเขาพร้อมแล้วสำหรับอัลบั้มใหม่ อัลบั้มชุดที่ 4 "Standing On The Shoulder Of Giants" (นำชื่ออัลบั้มมาจากประโยคหนึ่งในจดหมายของ เซอร์ไอแซค นิวตัน ที่เขียนถึงเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ ในปี 1679) ออกวางจำหน่ายปลายเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2000 เป็นผลงานที่มีความเป็นไซคีเดลิคมากที่สุดที่ทางวงเคยทำงานมา อัลบั้มชุดนี้โปรดิวซ์โดย Mike 'Spike' Stent (โปรดิวเซอร์ดังฝีมือเยี่ยมผู้เคยฝากฝีมือในการร่วมงานกับศิลปินระดับซูเปอร์สตาร์มาแล้วมากมาย อาทิ U2, Madonna, Bjork และ Massive Attack เป็นต้น) และ Noel Gallagher โดยไปบันทึกเสียงกันที่ประเทศฝรั่งเศส มีเพลง "Go Let It Out" เป็นซิงเกิ้ลแรก ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งเพลงอันดับที่ 1 ในอังกฤษของพวกเขา ในอัลบั้มนี้ Liam Gallagher ได้ฝากฝีมือในการเขียนเพลงเป็นเพลงแรกของเขา ในเพลง "Littles James", มีเพลง "Who Feels Love" ตัดเป็นซิงเกิ้ลที่ 2 ขึ้นไปอันดับ 4 ในอังกฤษ และ "Sunday Morning Call" เป็นซิงเกิ้ลที่ 3 ขึ้นไปถึงอันดับ 4 ในอังกฤษเช่นเดียวกัน
จากนั้น Oasis ก็ออกอัลบั้ม "Familiar To Millions" ซึ่งเป็นอัลบั้มบันทึกการแสดงสดแผ่นคู่จำนวน18 เพลง ซึ่งได้บันทึกเสียงจากการแสดงคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่ ท่ามกลางเหล่าแฟนเพลงมากมายถึง 70,000 คน!!! ที่สนามเวมบลีย์ สเตเดี้ยม กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม ปี 2000 (ยกเว้นเพลง "Helter Skelter" เพลงเก่าของ The Beatles ที่ไปบันทึกเสียงกันที่สตูดิโอ ที่มิลวอร์กี้ ประเทศอเมริกา) อัลบั้มชุดนี้ออกวางจำหน่าย 13 พฤศจิกายน ปี 2000 แน่นอนว่ามันต้องมีทุกเพลงฮิตของ Oasis อย่างครบครัน และขึ้นไปสูงสุดที่อันดับที่ 5 ในประเทศอังกฤษ….และ Oasis ก็ยังคงครองบัลลังก์ร็อคอันดับ1 ไว้อย่างสมศักดิ์ศรี…สมกับตำแหน่งวงดนตรีร็อคที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด และถูกยกให้เป็น The Beatles ของยุค 90--จบ--
-สส-