กรุงเทพฯ--1 ธ.ค.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ. ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ (TACC) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ในวันที่ 2 ธันวาคมนี้ โดย TACC ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชา กาแฟ มีผลิตภัณฑ์หลัก คือ เครื่องดื่มในโถกดที่ร่วมพัฒนากับ บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL) วางจำหน่ายในร้านสะดวกซี้อ 7-Eleven นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของบริษัท ได้แก่ ชาเขียวพร้อมดื่มตรา"เชนย่า" กาแฟปรุงสำเร็จตรา "วีสลิม" และเครื่องดื่มปรุงสำเร็จชนิดผงตรา "ชาช่า" "ณ อรุณ" และ "สวัสดี" โดยบริษัทฯ จำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางการจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ
TACC มีทุนชำระแล้ว 152 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 440 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 168 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทจำนวน 9 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 159 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 25-27 พฤศจิกายน 2558 ในราคาหุ้นละ 2.88 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 483.84 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,751.04 ล้านบาท มีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายนายชัชชวี วัฒนสุข ประธานกรรมการบริหาร TACC เปิดเผยว่า TACC เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง หรือ Key Strategic Partner กับ CPALL มานานกว่า 12 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการวิจัยและพัฒนาสินค้าร่วมกันอย่างต่อเนื่องจนทำให้ TACCมีสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์สูงเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจเครื่องดื่มโถกดใน 7-Eleven สำหรับการระดมทุนในครั้งนี้จะนำเงินที่ได้ไปลงทุนในเครื่องกดเครื่องดื่มแบบอัตโนมัติ (vending machine) ซึ่งเป็นเครื่องดื่มร้อนประเภทชาและกาแฟ โดยตั้งเป้าติดตั้งในร้านสะดวกซื้อให้ได้ประมาณ 1,500 แห่งภายในปี 2560 และเงินระดมทุนส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างมั่นคง
TACC มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มนายชัชชวี วัฒนสุข ถือหุ้น 29.44% นายทนุธรรม เกียรติไพบูลย์ ถือหุ้น 18.01% และกลุ่มนายไชยเชษฐ์ สีวลีพันธ์ ถือหุ้น 6.02% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ที่ 23.19 เท่า คำนวณจากผลประกอบการในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (1 ตุลาคม 2557-30 กันยายน 2558) ซึ่งเท่ากับ75.52 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.12 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทในแต่ละปี ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย
รายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่www.tacconsumer.com และที่เว็บไซต์ www.set.or.th
กลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย "สานโอกาสการลงทุน เพื่อคุณ เพื่อธุรกิจ"