รายงานภาวะความเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้ไทย ประจำเดือน มีนาคม 2544

ข่าวทั่วไป Wednesday April 11, 2001 14:08 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--11 เม.ย.--ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย
- ตราสารหนี้ออกใหม่
ในช่วงเดือนมีนาคมมีตราสารหนี้ที่ออกใหม่และขึ้นทะเบียนที่ศูนย์ซื้อขายฯ รวมทั้งสิ้น 86,001.65 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาล 8,900 บาท พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ 14,158.8 ล้านบาท พันธบัตรกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 20,000 ล้านบาท ตั๋วเงินคลัง 33,000 ล้านบาท และหุ้นกู้ภาคเอกชน 9,942.85 ล้านบาท
พันธบัตรรัฐบาลที่ออกใหม่ในเดือนมีนาคม ได้แก่ LB157A และ LB082A จำนวน 3,950 ล้านบาท และ 4,950 ล้านบาทตามลำดับ ส่วนองค์กรรัฐวิสาหกิจได้แก่ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (PTT) จำนวน 10 รุ่น รวมมูลค่า 12,000 ล้านบาท และการประปานครหลวง (MWA) 2,158.8 ล้านบาท กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินยังคงทยอยประมูลพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน อายุ 2,3 และ 5 ปี มูลค่า 8,000 6,500 และ 5,500 ล้านบาทตามลำดับ ด้านตั๋วเงินคลังในเดือนนี้หมดอายุ 23,000 ล้านบาท และมีการออกจำหน่ายใหม่ทั้งสิ้น 33,000 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นตั๋วเงินคลังรุ่นอายุ 28 วันและอายุ 91 วัน ประเภทละ 4 รุ่น และสำหรับองค์กรภาคเอกชนที่ออกหุ้นกู้และนำมาขึ้นทะเบียนกับศูนย์ซื้อขายฯ ในเดือนนี้ ได้แก่ บรรษัทเงินทุนอุตหสากรรมแห่งประเทศไทย (IFCT) 2 รุ่น และรวมมูลค่า 9,942.85 ล้านบาท
- มูลค่าคงค้างของตราสารหนี้ที่ขึ้นทะเบียนในศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย
มูลค่าคงค้างของตราสารหนี้ที่ขึ้นทะเบียนในศูนย์ซื้อขายฯ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2544 มีจำนวน 485 รุ่น รวมมูลค่าทั้งสิ้น 1,365,176.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.38 จากระดับ 1,320,596.74 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ โดยในปริมาณดังกล่าวประกอบด้วยพันธบัตรรัฐบาล 619,161.25 ล้านบาท (ร้อยละ 45.35) พันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน 352,058.26 ล้านบาท (ร้อยละ 25.79) หุ้นกู้ภาคเอกชน 215,377.48 ล้านบาท (ร้อยละ 15.78) พันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน 58,003.43 ล้านบาท (ร้อยละ 4.25) ตั๋วเงินคลัง 56,000 ล้านบาท (ร้อยละ 4.10) พันธบัตรกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 60,500 ล้านบาท (ร้อยละ 4.43) และพันธบัตรปตท. และพันธบัตร อบส. 4,076 ล้านบาท (ร้อยละ 0.30)
- ภาวะการซื้อขายในศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย
การเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลตามเส้น TBDC Government Bond Yield Curve ในเดือนมีนาคมพบว่าอัตราผลตอบแทนปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดทุกอายุ ยกเว้นอายุ 1 ปี ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลง ส่วนพันธบัตรอายุ 2-3 ปี ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น 29-31 bp. พันธบัตรระยะกลางอายุ 5-7 ปี ปรับเพิ่มขึ้น 51-59 bp. และพันธบัตรระยะยาวอายุ 10-14 ปี ปรับเพิ่มขึ้น 58-66 bp. การเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนมีความผันผวนค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาโดยพิจารณาโดยละเอียดจะพบว่าเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นเดือน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางถึงยาวนั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าในพันธบัตรระยะสั้น และกลับปรับลดลงในช่วงกลางเดือน โดยพันธบัตรระยะกลางมีการปรับตัวลดลงมากที่สุด และกลับมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงแคบ ๆ อีกครั้งในปลายเดือน ส่งผลให้เมื่อพิจารณาภาวะความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั้งเดือนแล้วพันธบัตรระยะกลางและยาวปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าพันธบัตรระยะสั้น
ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ที่มีการรายงานต่อศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทยในเดือนมีนาคมมีปริมาณลดลงจากเดือนก่อนหน้าถึงร้อยละ 37.49 โดยมีมูลค่าทั้งสิ้น 128,133.13 ล้านบาท คิดเป็นปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 5,824.23 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นธุรกรรมเป็นการซื้อขายจริง (Outright Transaction) มูลค่า 123,389.06 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 96.30 และธุรกรรมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการกู้ยืม และอื่น ๆ (Financing and Other Transaction) มูลค่า 4,744.07 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.70 ของปริมาณการซื้อขายรวม การซื้อขายส่วนใหญ่ยังคงให้น้ำหนักที่พันธบัตรรัฐบาลสัดส่วนร้อยละ 69.39 รองลงมาเป็นกลุ่มตั๋วเงินคลังร้อยละ 13.61 พันธบัตรรัฐวิสหากิจร้อยละ 8.12 พันธบัตรกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินร้อยละ 5.36 และหุ้นกู้ภาคเอกชนร้อยละ 3.52
สำหรับตราสารหนี้ที่มีการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในแต่ละประเภทตราสารหนี้ ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มพันธบัตรรัฐบาล ได้แก่ LB077A LB08DA และ LB157A พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ PTT133A MWA103A และ EGAT106A หุ้นกู้ภาคเอกชน ได้แก่ GECAL#2 LSPV#3 และ TFB#1 สำหรับสภาพคล่องการซื้อขายตราสารหนี้กลุ่มต่าง ๆ โดยวัดจากอัตราการเปลี่ยนมือการซื้อขาย (Turnover Ratio) นั้น พบว่า ในกลุ่มพันธบัตรรัฐบาลส่วนใหญ่จะเป็นตราสารกลุ่มเดียวกันกับตราสารที่มีการซื้อขายสูงสุด แต่สำหรับพันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่มี Turnover สูงสุด ได้แก่ PTT133A ETA023A และ EGAT107A และหุ้นกู้ภาคเอกชน ได้แก่ PL#1 CPN#1 และ GECAL#2
หากพิจารณาเฉพาะการซื้อขายประเภท Outright Transactions จะพบว่าสัดส่วนการซื้อขายในเดือนมีนาคมเป็นธุรกรรมการซื้อขายในกลุ่มสถาบันการเงินซึ่งมีใบอนุญาตค้าตราสารหนี้ (Interdealer Transactions) คิดเป็นมูลค่า 32,251.00 ล้านบาท หรือร้อยละ 26 ของปริมาณการซื้อขายรวม ในขณะที่เป็นธุรกรรมซื้อขายระหว่างสถาบันการเงินที่มีอนุญาตกับผู้ลงทุนประเภทต่าง ๆ (Dealer to Client Transactions) 91,138.06 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 74 ของปริมาณการซื้อขายรวม
ธุรกรรมการซื้อขายระหว่างสถาบันการเงินที่มีใบอนุญาตและผู้ลงทุนประเภทต่าง ๆ นั้น แบ่งเป็นธุรกรรมกับผู้ลงทุนในกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้ กลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่มีใบอนุญาตค้าตราสารหนี้ร้อยละ 47.83 กลุ่มกองทุนรวมร้อยละ 26.18 กลุ่มกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข) ร้อยละ 12.24 กลุ่มบริษัทประกันภัยร้อยละ 6.20 กลุ่มนักลงทุนอื่น ๆ ร้อยละ 7.42 และกลุ่มบริษัทต่างประเทศร้อยละ 0.13 โดยสัดส่วนการซื้อขายของกลุ่มกองทุนรวม และกลุ่มนักลงทุนอื่น ๆ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์--จบ--
-อน-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ