บมจ. เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 3 ธ.ค. นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 2, 2015 16:46 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--2 ธ.ค.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บมจ. เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) ผู้ผลิตขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายแบรนด์ "เถ้าแก่น้อย" พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 3 ธ.ค. นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 5,520 ล้านบาท ดร. สันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ. เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ในวันที่ 3 ธันวาคม 2558 โดย TKN ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายภายใต้ตราสินค้า "เถ้าแก่น้อย" โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก 4 ประเภท ได้แก่ สาหร่ายทอด สาหร่ายย่าง สาหร่ายเทมปุระ และสาหร่ายอบ นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ข้าวโพดอบกรอบ ภายใต้ชื่อ "เถ้าแก่ป็อบ" โดยมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายในประเทศผ่านหลากหลายช่องทาง รวมถึงร้านจำหน่ายขนมขบเคี้ยวของบริษัทชื่อ "เถ้าแก่น้อยแลนด์" และยังมีการส่งออกไป 35 ประเทศทั่วโลก TKN มีทุนชำระแล้ว 345 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 1,020 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 360 ล้านหุ้น โดยเสนอหุ้นเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไป (IPO) เมื่อวันที่ 25-27 พฤศจิกายน 2558 ในราคาหุ้นละ 4.00 บาท มูลค่าระดมทุน 1,440 ล้านบาท ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 5,520 ล้านบาท โดยมีบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) เปิดเผยว่า การนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตของบริษัทฯ โดยจะนำเงินที่ได้ไปลงทุนขยายกำลังการผลิตที่โรงงานแห่งใหม่ ณ สวนอุตสาหกรรมโรจนะ รวมถึงจะนำไปใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตในโรงงานแห่งเดิม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน TKN มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มครอบครัวพีระเดชาพันธ์ 73.91% นางสาวพิชญ์สินี เสรีวิวัฒนา 1.20% และกลุ่มครอบครัวแก้วสว่าง 0.96% ทั้งนี้ การกำหนดราคา IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 16.42 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสย้อนหลัง (1 ตุลาคม 2557-30 กันยายน 2558) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.24 บาท ทั้งนี้ บริษัทฯมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าอัตราร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และเงินสำรองตามกฎหมายจากงบการเงินเฉพาะกิจการ ผู้ลงทุนและผู้สนใจ โปรดดูรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.taokaenoi.co.th และที่เว็บไซต์ www.set.or.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ