กรุงเทพฯ--2 ธ.ค.--ทริสเรทติ้ง
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้นอายุ 3 ปีของ บริษัท นิติบุคคลเฉพาะกิจ บตท. (5) จำกัด (ผู้ออกตราสาร หรือเอสพีวี) ที่ระดับ "AA-(sf)" ซึ่งหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการค้ำประกันอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้โดยบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท. หรือ ผู้ค้ำประกัน) ทั้งนี้ อันดับเครดิตของเอสพีวีสะท้อนถึงอันดับเครดิตของ บตท. ซึ่งจัดโดยทริสเรทติ้งที่ระดับ "AA-" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" นอกจากนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนถึงการมีหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่เอสพีวีออกให้แก่ บตท. รวมถึงเงินกู้ยืมที่ บตท. จะให้แก่เอสพีวีเพื่อเสริมสภาพคล่อง และหน้าที่ของ บตท. ในการซื้อกองสินทรัพย์ (สิทธิเรียกร้องในค่างวดของกองลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย) คงเหลือคืนจากเอสพีวี ณ วันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ด้วย ดังนั้น อันดับเครดิตสะท้อนถึงการที่ผู้ถือหุ้นกู้มีการค้ำประกันจะได้รับชำระคืนหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ครบถ้วนตามกำหนดเวลาด้วยเช่นกัน อนึ่ง ตราสารดังกล่าวเป็นตราสารทางการเงินที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยหนุนหลังชุดแรกของ บตท. ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิต
บตท. ได้รับการก่อตั้งในปี 2540 ภายใต้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย พ.ศ. 2540 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1,000 ล้านบาท บตท. มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจประเภทสถาบันการเงินเฉพาะกิจสังกัดกระทรวงการคลังซึ่งมีบทบาทในการพัฒนาตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยโดยใช้วิธีการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ในการระดมทุน ภายใต้ พ.ร.ก. ดังกล่าว รัฐบาลสามารถค้ำประกันตราสารหนี้ที่ออกโดย บตท. ได้ไม่เกิน 4 เท่าของเงินกองทุน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บตท. มีเงินกองทุนอยู่ที่ 959.06 ล้านบาท ดังนั้น รัฐบาลจึงสามารถค้ำประกันหนี้ของ บตท. ได้ถึง 3,836.24 ล้านบาท โดย บตท. จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้และผู้ให้เงินกู้ยืมเพื่อเสริมสภาพคล่องของโครงการด้วย
เอสพีวี หรือผู้ออกตราสาร เป็นบริษัทจำกัดที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศไทยและได้รับอนุญาตให้มีสถานะเป็นนิติบุคคลเฉพาะกิจตาม พ.ร.ก. นิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ผู้ถือหุ้นของผู้ออกตราสารประกอบด้วย บตท. ซึ่งถือหุ้น 49.5% บริษัท บริการดี จำกัด ซึ่งถือหุ้น 48.99% และบุคคลทั่วไปซึ่งถือหุ้น 1.51% ในระยะเริ่มต้นของโครงการ ผู้ออกตราสารได้ออกตราสารหนี้มูลค่า 900.07 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้มีการค้ำประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้นจำนวน 660 ล้านบาทและหุ้นกู้ด้อยสิทธิจำนวน 240.07 ล้านบาท โดยหุ้นกู้มีการค้ำประกันเสนอขายให้แก่นักลงทุน ในขณะที่หุ้นกู้ด้อยสิทธิถือโดย บตท. หุ้นกู้ด้อยสิทธิมีสถานะด้อยกว่าหุ้นกู้มีการค้ำประกันและช่วยเสริมอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้มีการค้ำประกัน ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้จะนำไปใช้ซื้อสิทธิเรียกร้องในค่างวดของกองลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (สินทรัพย์) ที่ บตท. ซื้อจากสถาบันการเงิน 6 แห่ง โดยมูลค่าเงินต้นของกองสินทรัพย์อยู่ที่ 886.25 ล้านบาท
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 มูลค่าคงเหลือของหุ้นกู้มีการค้ำประกันอยู่ที่ 537.72 ล้านบาท ในขณะที่กองสินทรัพย์มีมูลค่าเงินต้นคงเหลือจำนวน 521.89 ล้านบาท โดยในช่วงเดือนธันวาคม 2555 ถึงเดือนกันยายน 2558 ผู้ออกตราสารได้รับชำระเงินค่าผ่อนชำระรายเดือนจากลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนทั้งสิ้น 488.66 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินต้นที่ได้รับชำระคืนตามกำหนดเวลาจำนวน 157.71 ล้านบาท ดอกเบี้ยจำนวน 124.30 ล้านบาท และเงินต้นที่ได้รับคืนก่อนกำหนดจำนวน 206.65 ล้านบาท โดยจำนวนเงินต้นที่ได้รับคืนก่อนกำหนดคิดเป็นประมาณ 23.32% ของเงินต้นในระยะเริ่มต้นทั้งหมดจำนวน 886.25 ล้านบาท ในขณะที่หนี้ที่มีการผิดนัดชำระสุทธิ (หลังหักหนี้ผิดนัดชำระที่ได้รับคืน) อยู่ที่ 25.86 ล้านบาท หรือประมาณ 2.92% ของมูลค่าเงินต้นเริ่มแรกของกองสินทรัพย์
กระแสเงินสดที่ได้รับจากกองสินทรัพย์ในแต่ละเดือนจะนำไปชำระคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้มีการค้ำประกันก่อน จากนั้นจึงจะนำกระแสเงินสดที่เหลือไปชำระคืนหุ้นกู้ด้อยสิทธิในลำดับต่อไป เนื่องจากเงินต้นที่ชำระคืนก่อนกำหนดมีค่อนข้างมาก จึงส่งผลให้เงินต้นคงเหลือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิลดลงมากกว่าที่ประมาณการไว้ โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 มูลค่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิอยู่ที่ 24.01 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.3% ของมูลค่าหุ้นกู้รวมทั้งหมด เนื่องจากอัตราการชำระคืนหนี้เงินต้นก่อนกำหนดค่อนข้างสูง จึงทำให้สัดส่วนของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ถือโดย บตท. ลดลงเหลือเพียง 4.3% จาก 26.7% ของหุ้นกู้ทั้งหมดในระยะเริ่มต้นโครงการ
อย่างไรก็ดี ตามสัญญาให้ความสนับสนุนทางการเงินระหว่าง บตท. และ เอสพีวีนั้น บตท. ตกลงจะให้เงินกู้ยืมแก่เอสพีวีในกรณีที่เอสพีวีไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะชำระหนี้ในแต่ละงวดตลอดอายุของหุ้นกู้ได้ นอกจากนี้ภายใต้สัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง บตท. ตกลงจะซื้อคืนสิทธิเรียกร้องดังกล่าว โดยราคาซื้อคืนสิทธิเรียกร้องจะเป็นราคาระหว่าง 1) มูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์รวมดอกเบี้ยค้างชำระ หรือ 2) มูลค่าเงินต้นและดอกเบี้ยค้างชำระของหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิซึ่งรวมภาระผูกพันต่าง ๆ ของเอสพีวี หลังจากที่หักด้วยเงินสดคงเหลือในบัญชีสำรองของเอสพีวี แล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า เอสพีวีจะนำเงินที่ได้รับจากการขายคืนสิทธิเรียกร้องไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ซึ่งหากยังมีส่วนที่ขาดอยู่ บตท. ก็จะรับชำระให้ตามสัญญาค้ำประกัน
หุ้นกู้มีการค้ำประกันภายใต้โครงการนี้จะมีการทยอยชำระคืนเงินต้นตลอดอายุหุ้นกู้ประมาณ 20% ดังนั้น การชำระคืนเงินต้นทั้งหมดในวันที่ครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้จะขึ้นอยู่กับความสามารถของ บตท. ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันในการซื้อคืนสิทธิเรียกร้องคงเหลือทั้งหมดกลับไป นอกจากนี้ บตท. ยังตกลงที่จะให้เงินกู้ยืมแก่ผู้ออกตราสารตลอดอายุของหุ้นกู้มีการค้ำประกันในกรณีที่ผู้ออกตราสารขาดสภาพคล่องอีกด้วย ดังนั้น อันดับเครดิตของหุ้นกู้มีการค้ำประกันจึงจะเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของอันดับเครดิตของผู้ค้ำประกัน
บริษัท นิติบุคคลเฉพาะกิจ บตท. (5) จำกัด (SPV-SMC (5))
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
MBSB15DA: หุ้นกู้มีการค้ำประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้น 529.87 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 AA-(sf)