กรุงเทพฯ--8 ธ.ค.--เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์
ในยุคของการติดจอ หรือมัลติสกรีน (Multi Screen) ยุคที่ข่าวสารและการสื่อสารอยู่บนหน้าจอทั้งหมดโดยพบว่าปัจจุบันชีวิตประจำวันของคนไทยมีการใช้สมาร์ทโฟน เฉลี่ย 5.7 ชั่วโมง/วัน ใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเฉลี่ย 5.4 ชั่วโมง/วัน ใช้คอมพิวเตอร์พกพาเฉลี่ย5 ชั่วโมง/วัน ใช้แท็บเล็ตเฉลี่ย 3.8 ชั่วโมง/วัน ใช้สมาร์ททีวีเฉลี่ย 3ชั่วโมง/วัน ซึ่งจากผลสำรวจข้างต้นจะเห็นว่าผู้ใช้งานใช้เวลาไปกับการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไม่ต่ำกว่า 3-5ชั่วโมง/วัน ทั้งนี้จากผลสำรวจช่วงอายุที่มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากที่สุด คือ คนเจนวาย (GEN Y: ช่วงอายุ15-34 ปี)ประมาณ 54.2 ชั่วโมง/สัปดาห์ รองลงมาเป็นคนเจนเอ็กซ์(GENX:ช่วงอายุ 35-50 ปี)ใช้งานอินเทอร์เน็ต 47.1 ชั่วโมง/สัปดาห์ (ที่มาข้อมูล :รายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยปี 2558 จัดทำโดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ ETDA) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้งานที่มีกำลังและอำนาจในการตัดสินใจซื้อพอสมควร อย่างไรก็ตามปัจจุบันกระแสการเสพข่าวสารจากเครือข่ายสังคมออนไลน์ส่งผลให้ผู้บริโภคมักค้นหาข้อมูลก่อนจะซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต หรือร้านค้าประเภทอี-คอมเมิร์ซ (e-Commerce) ผ่านอินเทอร์เน็ตก่อนเสมอ และหลังจากนั้นหากสินค้าใช้ดี มีคุณภาพ ก็จะเกิดการบอกต่อ ผ่านการเขียนวิจารณ์ (Review) โดยการโพสต์ลงบนโซเชียลมีเดีย นำไปสู่การซื้อตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันมีการใช้คนดังบนโซเชียลมีเดียช่วยในการรีวิวสินค้า ก็ยิ่งทำให้เกิดการคล้อยตามได้ง่ายในกลุ่มผู้ติดตามและชื่นชอบบุคคลนั้นๆ
ดร.สมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า เมื่อวิถีชีวิตเปลี่ยน พฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปด้วย ดังนั้นผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวให้เท่าทันกับสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งเชื่อว่ามีผู้ประกอบการบางส่วนที่สามารถปรับตัวได้แล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่ยังยึดติดกับการทำการตลาดเดิมๆอยู่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) จึงผลักดันให้ผู้ประกอบการทุกรายหันมาปรับใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจสูงที่สุด ทั้งในแง่ของการทำการประชาสัมพันธ์ การทำการตลาด เพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จักให้กลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น โดยในปีงบประมาณ 2559 ได้จัดทำกิจกรรมการส่งเสริม SMEs เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์ด้วยโซเชียล มีเดีย(Social Media) ภายใต้แผนปฏิบัติการ "DigitalSMEsปี 2559 โดย กสอ." ภายใต้ "โครงการพัฒนาศักยภาพ SMEs ด้วยระบบดิจิทัล" เพื่อสร้างเรียนรู้การปรับใช้โซเชียลมีเดียในธุรกิจให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยตั้งเป้าให้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมกิจกรรมนี้ไม่น้อยกว่า 100 ราย
นอกจากนี้ กสอ. ยังมีกิจกรรมการส่งเสริม SMEs ให้ทำธุรกิจในรูปแบบธุรกิจกับธุรกิจ (Business to Business : B2B) ผ่านเว็บไซต์ Alibaba.comเพื่อการถ่ายถอดองค์ความรู้และการให้คำปรึกษาแนะนำความรู้ด้านธุรกิจการส่งออก การขนส่งสินค้าและภาษี เพิ่มช่องทางในการขายสินค้าออกไปในต่างประเทศโดยผ่านช่องทางอี-มาร์เก็ตเพลส(E-Marketplace)ของ Alibaba.com ซึ่งเป็นช่องทางการค้าส่งออนไลน์ อันดับหนึ่งของโลกที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดจากการเชื่อมต่อผู้ซื้อกับผู้ขายและผู้ผลิตทั่วโลก ตั้งเป้าพัฒนาผู้ประกอบการไม่น้อยกว่า 50 กิจการ
อย่างไรก็ตามนอกจากการนำเทคโนโลยีไปใช้ในการประชาสัมพันธ์และทำการตลาดเพื่อการค้าแล้วการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในธุรกิจในด้านของเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การบริหารจัดการ ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งดังนั้น กสอ.จึงจัดกิจกรรมการส่งเสริม SMEsใช้ระบบ ERP by DIPและพัฒนาศักยภาพด้วยระบบรายงานผู้บริหาร (BI) กิจกรรมส่งเสริม SMEs ใช้ระบบ ERP ขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการธุรกิจ กิจกรรมส่งเสริม SMEsภาคการผลิต ใช้ระบบไอทีช่วยบริหารซัพพลายเซน เพื่อเพิ่มผลิตภาพ กิจกรรมส่งเสริม SMEsในส่วนภูมิภาคได้รับการพัฒนาใช้ระบบซอฟต์แวร์ช่วยบริการธุรกิจ กิจกรรมการยกระดับวิสาหกิจสู่การเป็น SMEs แห่งอนาคต (SMEs New Era) เป็นต้น โดยตั้งเป้าให้ SMEs สามารถเพิ่มผลิตภาพด้านการบริหารจัดการธุรกิจได้ไม่น้อยกว่า 440 กิจการ หรือ 400 คน ทั้งนี้สำหรับ งบประมาณปี 2558 ที่ผ่านมา กสอ.สามารถส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEsหันมาใช้ระบบไอทีเป็นเครื่องมือในการเพิ่มผลิตภาพ(Productivity) และการลดต้นทุน ได้กว่า 420 หรือ 840 คน และจำนวนเงินที่ SMEs สามารถประหยัดได้จากการไม่ต้องลงทุนระบบไอทีเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มผลิตภาพในกิจการกว่า 5.85 ล้านบาท อีกทั้งจำนวนเงินที่ SMEsได้จากการเพิ่มผลิตภาพไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนในการบริหารงานในกิจการและการมีรายได้เพิ่มขึ้น กว่า 1.19 ร้อยล้านบาท ดร.สมชาย กล่าว
นางสาวนงลักษณ์ ภมรวิริยะ กรรมการผู้จัดการบริษัท เอแซด อินฟินิตี้ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวสุนัข ภายใต้แบรนด์เพ็ททูโก (PET2GO)และมันซ์นี่ (MUNZNIE)กล่าวว่า แบรนด์เพ็ททูโกPET2GOซึ่งมีผลิตภัณฑ์ขนมขัดฟัน (DailyDentalBone)ขนมขัดฟัน (Crocgy)ขนมฝึกสุนัข (TreatME) โดยช่วงแรกนั้นทำเองทุกอย่าง ทั้งออกแบบผลิตภัณฑ์ การตลาด บัญชี การเปิดตลาดและสำรวจตลาด ในปีถัดมาได้ออกผลิตภัณฑ์แบรนด์ใหม่อีกหนึ่งแบรนด์ชื่อมันซ์นี่MUNZNIE เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากหนังวัว (Rawhide) ผลิตภัณฑ์สันในไก่อบแห้ง โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือ ร้านขายผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง (PetShop) โรงพยาบาลสัตว์ คลินิกรักษาสัตว์ ห้างสรรพสินค้าประจำจังหวัด มากกว่า 400 ร้านค้า ทั่วประเทศ ซึ่งผลตอบรับดีมาก เนื่องจากผลิตภัณฑ์น่าสนใจ คุณภาพดี ราคาประหยัด มีการทำโปรโมชั่นร่วมกับร้านค้าและลูกค้าปลายทางอย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้บริษัทยังได้มีโอกาสเข้าร่วม โครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของSMEs ไทยด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (EnhancingSMEsCompetitivenessthroughIT: ECIT) ของ กสอ. ทำให้ได้ความรู้เพิ่มเติมในแง่ของการทำการตลาดด้วยสื่อดิจิทัล หรือสังคมออนไลน์ จากนั้นบริษัทก็ทำตลาดอย่างต่อเนื่องบนสื่อออนไลน์ (Social media)อาทิ เฟซบุ๊กชมรมสุนัข เป็นต้น และได้รับเกียรติไปเป็นตัวอย่างผู้ประสบความสำเร็จในการทำการตลาดออนไลน์ (Success Case of social media)ภายในงานสัมมนา "ECIT:SMEsSolutionDay2014"อีกด้วย ทั้งนี้สำหรับยอดการผลิตเพื่อจัดจำหน่ายภายในประเทศในปี 2557 ที่ผ่าน คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1 ล้านชิ้นต่อปี และสัดส่วนการส่งออกไปยังต่างประเทศ คิดเป็นมูลค่า มากกว่า 100,000 ชิ้นต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน ขณะที่รายได้ช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม-พฤษภาคม) ที่ผ่านมามีมากกว่า 6 ล้านบาทและตั้งเป้ารายได้ภายในสิ้นปี 2558 นี้ จะได้มากกว่า 20 ล้านบาท จากทั้งตลาดในประเทศและการส่งออก
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจโครงการต่างๆของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ถนนพระรามที่ 6กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0 2202 4414-18 หรือเข้าไปที่ www.dip.go.th หรือwww.facebook.com/dip.pr