กรุงเทพฯ--4 ก.ค.--เนกซ์สเตป
จันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 2543 ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. 21:00 น.
"Amazon Bronze" วัฒนธรรมโลหะ ติดตามการเดินทางเที่ยวพิเศษเข้าไปในป่าเขตร้อนของประเทศบราซิลและเปรูของศิลปินนักปั้นหุ่นชาวสวีเดนชื่อ เฟลิปเป้ เลตเตอร์สเต็น ตามเส้นทางของลุ่มน้ำอเมซอนที่ต้องผจญภัยกับชนเผ่าต่างๆ มากมาย เพื่อตามหาคนที่เป็นตัวแทนของเผ่าต่างๆ ที่เป็นชนพื้นเมือง โดยเขาจะทำการปั้นรูปสำริดของคนเหล่านั้นในอิริยาบถต่างๆ แล้วนำมาจัดแสดงนิทรรศการ เพื่อเปิดเผยภาพของชนเผ่าที่มีอยู่มากมายหลายพันกลุ่มให้เพื่อนมนุษย์ในโลกได้ทำความรู้จัก ก่อนที่คนเหล่านั้นจะไม่หลงเหลืออยู่ให้เราได้ชื่นชมประเพณีของพวกเขา
สำรวจโลกกับ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค ในตอน "Amazon Bronze" เป็นการเดินทางเที่ยวพิเศษลึกเข้าไปในป่าเขตร้อนในประเทศบราซิลและเปรู ช่างภาพของเราเดินทางไปพร้อมกับศิลปินชาวสวีเดนชื่อ เฟลิปเป้ เลตเตอร์สเต็น ในการเดินทางของเขาไปตามลุ่มน้ำอเมซอน เพื่อค้นหาตัวแทนของชนเผ่าต่างๆ ในการที่จะมาเป็นแบบให้กับงานศิลปะของเขา การค้นหาอาสาสมัครที่จะยินดีมาเป็นแม่แบบสำหรับการหล่อแบบพิมพ์ให้กับเขานั้นจำเป็นต้องอาศัยการขอร้องอย่างมาก หากแต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ -- รูปปั้นสำริดที่ดูราวกับมีชีวิต ถึงแม้ว่าชาวเผ่าอินเดียนจะมีความรู้สึกไม่ไว้วางใจบุคคลภายนอก แต่เลตเตอร์สเต็นก็สามารถใช้เสน่ห์ในตัวของเขาเพื่อผูกสัมพันธ์กับชนเผ่าต่างๆ จนไม่อาจมีใครปฏิเสธการให้ความร่วมมือ ตลอดเวลาการทำงานที่ผ่านมานานถึง 6 ปี เขาได้ปั้นรูปปั้นสำริดมาแล้วถึง 112 รูปในฐานะบุตรชายของเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมชาวสวีเดน เลตเตอร์สเต็นเติบโตขึ้นมาในประเทศเปรู ได้ยินและได้ฟังตำนานของชาวอินคาและชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกครองทวีปแห่งนี้ การเดินทางกลับไปในป่าเขตร้อนแต่ละครั้ง คือการเดินทางเข้าไปสู่โลกที่ได้สร้างให้เกิดจินตนาการของนักปั้นนับตั้งแต่เมื่อครั้งยังเยาว์วัย
เลตเตอร์สเต็นได้สร้างสรรค์รูปปั้นสำริดขนาดเท่าตัวคนที่เป็นตัวแทนของชนพื้นเมือง หุ่นบางตัวมีจานใส่ไว้ในปาก หรือเครื่องประดับที่หู บ้างก็เป็นรูปของชาวเผ่าอินเดียนที่ถือธนู เป่าลูกดอก หรือถือเครื่องปั้นต่างๆ เขาไม่ได้สร้างรูปปั้นเหล่านั้นไว้เพื่อการค้า แต่เพื่อแสดงนิทรรศการเป็นเกียรติแก่ชนเผ่าต่างๆ ที่เคยมีอยู่หลายพันกลุ่ม ซึ่งหายสาบสูญไปโดยไม่มีใครได้เคยรับรู้เรื่องราวของพวกเขา นอกจากนี้เลตเตอร์สเต็นยังได้วางแผนที่จะนำหุ่นจำลองของรูปปั้นกลับไปคืนให้แต่ละหมู่บ้านที่เป็นต้นแบบด้วยความหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ชาวอินเดียนรุ่นใหม่รู้สึกภาคภูมิใจในวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของตน
สำรวจโลกกับ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค เดินทางร่วมกับศิลปินคนนี้เพื่อการเดินทางผ่านพื้นที่ที่ห่างไกลที่สุดแห่งหนึ่งในลุ่มน้ำอเมซอน ผ่านดินแดนของนักล่าหัวมนุษย์ ไปยังหมู่บ้านของชาวเผ่ามารูโบ้และสร้างรูปปั้นของพวกเขาเป็นหนึ่งในโครงการ
อังคารที่ 11 กรกฎาคม 2543 ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. 21:00 น.
"Return of The Mountain Lion" แผ่นดินของสิงโตภูเขา
สิงโตภูเขาที่เคยองอาจเกรียงไกรแห่งทวีปอเมริกาเหนือ ถูกมนุษย์ขับไล่ด้วยการขยับขยายพื้นที่ จนทำให้มันต้องถอยร่นเข้าไปอยู่ในเงามืดของทวีป แต่วันนี้พวกมันกลับมาเพื่อทวงสิทธิ์ในบ้านของมันคืน มันอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งของเมือง แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นมัน จนกว่าจะกลายเป็นเหยื่อของมันเสียก่อน หลายชีวิตต้องจบลงหรือมีโอกาสเผชิญหน้ากับสิงโตภูเขา ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก การทำความรู้จักกับวิถีชีวิต, ความเป็นอยู่ของมันจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะนับจากนี้ไป มนุษย์มีความจำเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมพื้นที่กับมันมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อนักบุกเบิกชาวยุโรปเดินทางมาถึงทวีปอเมริกา สิงโตภูเขาอาศัยอยู่ทั่วไปอย่างอิสระมานานนับพันปี เมื่อผู้บุกเบิกเหล่านี้ขยับขยายมาพื้นที่ทางตะวันตก สัตว์ที่เป็นผู้ล่าซึ่งมักจะจับสัตว์เลี้ยงของพวกเขากินเป็นอาหารจึงกลายเป็นเป้าหมายที่ต้องถูกกำจัด ในการทำสงครามกับสัตว์ชนิดนี้, สัตว์ที่พวกเขาเรียกว่า แมวปีศาจ ชาวไร่และนายพรานเกือบจะประสบความสำเร็จในการฆ่าสิงโตภูเขาเหล่านี้ให้หมดไป
ทุกวันนี้ เจ้าแมวยักษ์ได้รับการคุ้มครองตามกฏหมาย การฆาตกรรมครั้งใหญ่สิ้นสุดลง แต่เมื่อพวกมันมีจำนวนเพิ่มขึ้นและเขตแดนที่อยู่อาศัยของมนุษย์ได้รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ป่าที่หลงเหลืออยู่อย่างน้อยนิด การเผชิญหน้ากันระหว่างสิงโตภูเขาที่ปราดเปรียวและมนุษย์ก็ต้องเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยสำรวจโลกกับ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค ในตอน "Return of The Mountain Lion" จะเป็นเสมือนบันทึกเรื่องราวความพยายามของสิงโตภูเขาที่ได้กลับคืนสู่ดินแดนทางตะวันตกเพื่อทวงสิทธิ์ในบ้านของมันคืน สิงโตภูเขาแสดงตัวให้มนุษย์ได้รับรู้ และปฏิกิริยาของมันที่มีต่อมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก ในปี 1995 หญิงวัย 58 ปีคนหนึ่งถูกสิงโตภูเขาฆ่าในขณะที่เดินอยู่ในสวนสาธารณะในซาน ดิเอโก้ สุนัข, แมว หรือแม้แต่เด็กเล็กๆ ต่างก็เคยถูกสัตว์นักล่าเหล่านี้ทำร้ายมาแล้วแทบทั้งนั้น
สำรวจโลกกับ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค ได้สังเกตทักษะการล่าของสัตว์ชนิดนี้และการหลบหลีกของมัน สิงโตภูเขานั้นทรงพลังและดุร้าย แต่โดยธรรมชาติแล้ว พวกมันมีความระมัดระวังเป็นพิเศษและเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างเก็บตัว ดำรงชีวิตและออกล่าเหยื่อตามลำพัง การทำร้ายมนุษย์ที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่านั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสาเหตุที่แตกต่างกัน หรือเป็นเพราะว่าพวกมันเริ่มจะมองเห็นมนุษย์เป็นเหยื่อชนิดหนึ่งกันแน่ ?จากการใช้เวลากว่า 1 เดือนกับการติดตามเจ้าสัตว์อันตรายชนิดนี้ในป่า นักชีววิทยาสัตว์ป่าอย่าง จิม วิลเลี่ยมส์ และทีมงานกำลังค้นหาคำตอบ วิลเลียมส์สรุปว่าการใช้ชีวิตในป่านั้นเป็นเรื่องที่โหดร้ายสำหรับสิงโตภูเขา เมื่อพวกมันต้องออกเดินไปทั่วอาณาเขตบ้านขนาดประมาณ 300 ตารางไมล์ สิงโตภูเขาจะต้องทำการล่าเหยื่อทุกๆหนึ่งหรือสองสัปดาห์ พวกมันจะกินเหยื่อที่ล่ามาได้เป็นเวลา 4 ถึง 5 วัน และต้องคอยระมัดระวังว่าจะมีสัตว์อื่นๆมาขโมยอาหาร สิงโตหนุ่มต้องต่อสู้กับสิงโตที่มีอายุมากกว่ารวมถึงชั้นเชิงการต่อสู้ที่มากกว่าด้วยเพื่ออาหารและอาณาเขต ซึ่งอาจส่งผลให้สิงโตหนุ่มต้องออกเพ่นพ่านเข้าไปในเมืองยามค่ำคืน เพื่อหาสัตว์เลี้ยงตามบ้านหรืออะไรก็ตามที่พบเห็นกินเป็นอาหาร
พุธที่ 12 กรกฎาคม 2543
ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. 21:00 น. "Bear Attack" การเอาตัวรอดจากอุ้งมือหมี
ในบริเวณป่าผืนสุดท้ายของทวีปอเมริกาเหนือ มีผู้คนหลั่งไหลเข้าไปที่นั่นมากมายดั่งว่าไปเที่ยวสวนสนุก ด้วยความหวังว่าจะได้มีโอกาสสักครั้งที่จะได้เห็นสัตว์ที่รวมเอาความเข้มแข็งและอำนาจของธรรมชาติไว้ด้วยกัน มันคือ หมีกริซลี่ ผู้ที่จะมาเปลี่ยนจินตภาพของหมีที่เป็นมิตร อืดอาด เชื่องช้า ให้หมดไปจากใจเรา เมื่อได้พบเห็นการโจมตีของมันที่ทำกับมนุษย์ เพราะการโจมตีของมันนั้น เป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ แม้แต่ผู้ที่ระมัดระวังที่สุดยังพลั้งเผลอตกเป็นเหยื่อของมันจนได้ สตีเฟ่น เฮอเรโร่ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการโจมตีของหมี จะทำการขจัดเรื่องราวลี้ลับและให้ความจริงเกี่ยวกับตัวมัน พร้อมทั้งฟังเรื่องราวจากผู้ที่รอดชีวิตซึ่งจะมาลำดับภาพเหตุการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการโจมตีของหมีต่อมนุษย์ จากการที่ทั้งสองฝ่ายมีความขัดแย้งกันมาอย่างยาวนาน
สำหรับผู้ที่โชคดีบางคน การได้พบเห็นหมีในป่าเป็นประสบการณ์ที่แสนวิเศษและน่าประทับใจ แต่สำหรับอีกหลายคน มันกลับเป็นประสบการณ์ที่น่าหวาดหวั่น หรืออาจเป็นประสบการณ์สุดท้ายของชีวิต ผ่านประสบการณ์ของผู้ที่ตกอยู่ในเหตุการณ์ และสามารถรอดชีวิตจากการโดนหมีทำร้าย รวมทั้งความรู้ที่ทรงคุณค่าจากผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันการโจมตีจากหมี รวมทั้งภาพอิริยาบถต่างๆ ของสัตว์ที่ทรงพลังชนิดนี้ในป่า สำรวจโลกกับ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค ในตอน "Bear Attack" พยายามที่จะทำความเข้าใจกับปฏิกิริยาที่รุนแรงที่หมีมีต่อมนุษย์กล้องของสถาบัน เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค มาเผชิญหน้ากับหมีกริซลี่ที่สามารถยืนบนขาหลังผงาดสูงขึ้นกว่ามนุษย์ ถึงแม้ว่ามันจะมีขนาดที่ใหญ่โต แต่หมีก็ยังสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วพอกับม้า
สำรวจโลกกับ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค ตอน "Bear Attack" ยังบอกให้เรารู้ว่าหมีนั้นมีประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นที่เยี่ยมยอด ทำให้การเก็บอาหารอย่างปล่อยปละละเลยในแคมป์ที่พักกลางป่ากลายเป็นคำเชิญชวนให้เกิดปัญหา แต่ในขณะที่บ้านตามธรรมชาติของหมีเริ่มลดจำนวนลงเนื่องจากการขยับขยายถิ่นฐานของมนุษย์ และการท่องเที่ยวในป่าลึกเป็นที่นิยมมากขึ้น โอกาสที่มนุษย์จะต้องเผชิญหน้ากับหมีก็มีมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกันและเราจะต้องทำอย่างไร ? หากพบเจอกับหมีในป่า วิ่งหนี ? ต่อสู้ ? หรือปีนต้นไม้ ? สตีเฟ่น เฮอเรโร่ ที่ได้ทำการศึกษาการโจมตีของหมีมากว่า 20 ปี ได้สอนให้ผู้คนเรียนรู้ว่าไม่มีวิธีใดที่จะหนีรอดได้ อาวุธที่ดีที่สุดของคนก็คือ สมอง ไม่ว่าเราจะประสบความสำเร็จในการทำความเข้าใจหมีได้มากเท่าใด ก็ยังจะมีความเสี่ยงที่เราจะโดนหมีทำร้าย
สำรวจโลกกับ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค จะพาท่านผู้ชมเดินทางไปสู่ภูมิลำเนาของหมีกริซลี่พร้อมกับผู้เชี่ยวชาญ สตีเฟ่น เฮอเรโร่ ซึ่งจะทำการขจัดข้อสงสัย, เรื่องราวลี้ลับและให้ความกระจ่างในความจริงเกี่ยวกับการโจมตีของหมี จากประสบการณ์ของผู้ที่รอดชีวิตจนถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงการโจมตีของหมี ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้จะพาทุกท่านไปพบกับมุมมองอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างหมีและมนุษย์ที่มีมายาวนาน
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2543 ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. 21:00 น.
"Golden Lions of The Rainforest" สิงโตทองคำแห่งป่าดงดิบ
ท่ามกลางกิ่งไม้และเถาวัลย์ที่ปกคลุมหนาทึบอยู่ทางตอนเหนือของเขตอนุรักษ์ โพโก้ ดาส อันตาส แห่งประเทศบราซิล เป็นที่อยู่อาศัยของลิงที่ใกล้จะสูญพันธุ์ฝูงหนึ่ง มันคือลิงทามารินป่าฝูงสุดท้าย และสำหรับเจ้าลิงตัวเล็กๆ เหล่านี้ การดำรงชีวิตบนยอดไม้เต็มไปด้วยอันตรายและความขัดแย้ง การที่พวกมันจะอยู่รอดได้นั้น ต้องขึ้นอยู่กับความสามัคคีภายในฝูงเท่านั้น ครอบครัวลิงทามารินป่าที่อาศัยอยู่บริเวณ ซีกันด้า อาควา จะเป็นตัวแทนของลิงฝูงสุดท้ายฝูงนี้ เพื่อบอกเล่าความเป็นอยู่ที่น่าประทับใจของพวกมันสู่สายตาชาวโลก ก่อนที่จะต้องสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้จริงๆ
พวกมันต้องอาศัยอยู่ในป่าเขตร้อนของประเทศบราซิลเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ และในขณะที่ป่าถูกถางจนโล่งเพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับการทำไร่และฟาร์มปศุสัตว์ ชีวิตของเจ้าลิงทามาริน ซึ่งเป็นลิงประเภทที่มนุษย์หลงรักมากที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง กำลังถูกคุกคามมากขึ้นตามไปด้วย ลิงทามารินป่าจำนวนไม่ถึง 700 ตัวเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ในป่าแถบชายฝั่งของประเทศบราซิล ซึ่งเคยมีอาณาบริเวณครอบคลุมถึง 3 ล้านเอเคอร์ แต่ปัจจุบันนี้กลับเหลืออยู่น้อยมาก ทามารินที่เหลืออยู่จึงใกล้จะสูญพันธุ์มากขึ้นทุกที สำรวจโลกกับ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค จะมองเข้าไปในโลกของลิงประเภทนี้
เราจะติดตามชะตากรรมของลิงทามารินครอบครัวหนึ่ง ในขณะที่มันออกหาอาหารและหลีกหนีจากอันตรายในป่า พวกมันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเคลื่อนที่ โดยออกลาดตระเวนภายในอาณาเขตที่เป็นบ้านเพื่อแสวงหาผลไม้ แมลง กิ้งก่า กบและอาหารประเภทอื่นๆ แม้ว่าขนที่แผงคอซึ่งคล้ายกับขนของสิงโตและลักษณะบนใบหน้าที่ละเอียดอ่อนอาจทำให้มันดูเหมือนสัตว์ที่ถูกธรรมชาติสร้างสรรค์มาเป็นพิเศษ พวกมันกลับปรับตัวได้อย่างดีเยี่ยมเพื่อให้มีความเหมาะสมกับการล่า นิ้วที่เรียวยาวและเล็บที่มีลักษณะเหมือนกรงเล็บทำให้มันสามารถล้วงเข้าไปในโพรงไม้เพื่อหาอาหาร นอกจากนี้สายตาของมันก็ยังดีเยี่ยม ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการหาแมลงที่สามารถพรางตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลิงทามารินอาศัยอยู่เป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดกันมาก และมีอาณาเขตที่ชัดเจน ทำให้พวกมันต้องปกป้องบ้านของตนเองจากการรุกรานของลิงทามารินตัวอื่น ในขณะที่พื้นที่อยู่อาศัยสำหรับพวกมันลดน้อยลงเรื่อยๆ การปะทะกันอันสืบเนื่องมาจากการบุกรุกอาณาเขตจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามต่อสู้มา กว่า 25 ปี เพื่อปกป้องลิงทามารินที่เหลืออยู่ พวกเขาจับมันโดยการใช้กล้วยซึ่งเป็นอาหารโปรดของทามารินเป็นเหยื่อล่อและคอยตรวจสอบความเคลื่อนไหวด้วยปลอกคอส่งสัญญาณวิทยุ เราได้แต่เพียงหวังว่าการอุทิศตนของนักวิทยาศาสตร์ และผู้ที่ทำงานเพื่อปกป้องป่าเขตร้อนตามแนวชายฝั่ง จะเพียงพอที่จะช่วยรักษาสัตว์ที่น่ารักที่สุดอีกชนิดหนึ่งตามธรรมชาติ
วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2543 ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. 21:00 น.
"The Eagle and The Snake" สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์
งูนับร้อยนับพันตัวถูกพลังลึกลับบางอย่างดึงดูดมาสู่เกาะที่ถูกเรียกว่า เกาะอสรพิษ ในช่วงเวลาเดียวกันของทุกปี การมาถึงของงูทะเลเหล่านี้ทำให้ศัตรูตัวฉกาจของมันติดตามมาด้วย - นกอินทรีทะเลท้องขาว ท่านผู้ชมจะได้เห็นฉากการไล่ล่าของสัตว์ทั้งสองชนิดที่น่าตื่นตาตื่นใจ เมื่อนกอินทรีโฉบลงไปที่พื้นผิวน้ำ เพื่อจับงูที่กำลังตกอยู่ในความหวาดหวั่น นกอินทรีจะบินทะยานขึ้นบนท้องฟ้าด้วยปีกที่แผ่กว้างออกไปกว่า 6 ฟุต แล้วจึงถลาลงเรี่ยผืนน้ำเพื่อรอคอยให้เหยื่อผุดขึ้นมาหายใจ ซึ่งจะทำให้นกอินทรีได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน จากงูที่มีพิษร้ายกาจชนิดนี้ แต่ก็ใช่ว่ามันจะสามารถกินได้ง่ายๆ เพราะงูที่ยังคงดิ้นรนอยู่ในกรงเล็บของมันก็สามารถฆ่านกที่กำลังบินอยู่ได้อย่างง่ายๆ ด้วยพิษเพียงนิดเดียว
สำรวจโลกกับ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค นำท่านผู้ชมไปสู่การเดินทางที่ไม่อาจลืมเลือน สู่น่านน้ำที่น่าอบอุ่นแห่งทะเลจีนใต้ ไปชมการต่อสู้ของศัตรูระหว่างสองเผ่าพันธุ์ - งูทะเลที่มีพิษร้ายกาจและศัตรูตัวฉกาจของมัน นกอินทรีทะเลท้องขาว งูทะเล เป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่งบนโลก พิษเพียงหยดเดียวก็เพียงพอที่จะฆ่ามนุษย์ได้หลายชีวิต อย่างไรก็ตาม เจ้าสัตว์นักล่าที่เต็มไปด้วยสีสันชนิดนี้กลับต้องโผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อหายใจ ซึ่งทำให้มันกลายเป็นเป้าหมายสำหรับนักล่าที่มีสายตาแหลมคมและเต็มไปด้วยทักษะ นกอินทรีทะเลท้องขาว ท่านผู้ชมจะได้พบกับฉากการไล่ล่าที่น่าตื่นตาตื่นใจ ในขณะที่เจ้านกอินทรีโฉบลงไปที่พื้นผิวน้ำเพื่อจับงูที่น่ากลัวชนิดนี้ พวกมันบินทะยานขึ้นบนท้องฟ้าด้วยปีกที่แผ่กว้างออกไปกว่า 6 ฟุต แล้วจึงถลาลงเรี่ยผิวน้ำเพื่อรอคอยให้เหยื่อโผล่ขึ้นมาหายใจ แล้วนกอินทรีก็จะได้รับสารอาหารที่อุดมสมบูรณ์จากงูที่มีพิษร้ายชนิดนี้
แต่นกอินทรีก็ไม่ได้ปลอดภัยจากการหาอาหารโดยสิ้นเชิง มันไม่มีการป้องกันเป็นพิเศษต่อพิษงู งูที่กำลังดิ้นรนอยู่ในกรงเล็บมรณะของนกอินทรีอาจสามารถฆ่าเจ้านกที่กำลังบินอยู่ได้อย่างง่ายๆ
งูนับร้อยตัวถูกพลังลึกลับดึงดูดให้มาสู่เกาะที่ถูกขนานนามว่า เกาะอสรพิษ และนกอินทรีท้องขาวที่ทำรังอยู่บนเกาะที่อยู่ใกล้เคียงกันนอกชายฝั่งบอร์เนียว สารคดีที่ได้รับการบันทึกภาพอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในสำรวจโลกกับ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค ตอน "The Eagle and The Snake"--จบ--
-อน-