กรุงเทพฯ--17 ธ.ค.--สถานีโทรทัศน์ช่อง 8
จากกรณี "ครอบครัวหิรัญพฤกษ์" ของนักแสดงหนุ่ม ภูริ หิรัญพฤกษ์ ได้เข้าร้องกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อให้ช่วยเข้าตรวจสอบเกาะนาคาน้อย หลังจากที่ถูกกลุ่มคนแอบอ้างถือกรรมสิทธิ์ที่ดินบนเกาะของตนเองที่ตกทอดมายาวนานกว่า 40 ปีซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นเอกสารสิทธิ์ที่ไม่ชอบมาพากล ล่าสุด "ภูริ หิรัญพฤกษ์"ได้มาเปิดใจถึงกรณีดังกล่าวในรายการ ปากโป้ง ทางช่อง 8 ที่มี หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย และ หนิง ปณิตา ธรรมวัฒนะ เป็นพิธีกรถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า
"จริงๆแล้วครอบครัวหิรัญพฤกษ์ครอบครองที่ดีบนเกาะนาคาน้อยมาตั้งแต่ปี 2518 เป็นเอกสารสิทธิ์ที่คุณปู่ถือครองเป็นเอกสารสิทธิ์ปี 18 เป็น นส.3 จนกระทั่งปี 2535 ก็เอาไปเปลี่ยนเป็นเอกสาร นส.3ก ซึ่งก็มีการจัดทำรางวัดอย่างถูกต้อง เริ่มต้นจากคุณปู่ก็ซื้อที่ดินมาจากชาวบ้านที่เกาะนาคาน้อย อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เพื่อที่จะทำธุรกิจฟาร์มไข่มุก ซึ่งตอนนี้ก็ทำฟาร์มไข่มุกมากกว่า 40 ปี โดยชาวบ้านก็จะรู้ดีว่าเราเป็นคนดูแลเกาะนี้ทั้งเกาะ ซึ่งจริงแล้วเรามีโฉลดอยู่ประมาณ 53 ไร่แต่ในเรื่องของการดูแลนั้นเราจะดูแลทั้งเกาะอยู่แล้วก็มีการปลูกสวนมะพร้าว ปลูกต้นไม้ต่างๆ ส่วนตัวบนเกาะเราก็ทำเป็นโรงเรือนเพื่อให้คนเข้ามาเยี่ยมชมฟาร์มไข่มุกของเรา ส่วนบริเวณน่านน้ำจากชายไว้ไป 200 เมตรเราก็จะกั้นไว้เพื่อไม่ให้ใครเข้ามายุ่งบริเวณฟาร์มไข่มุกของเราด้วย เมื่อก่อนการทำฟาร์มไข่มุกก็จะต้องระวังเพื่อความปลอดภัยว่ามีโจรมาปล้นเอาไข่มุกไป ส่วนบริเวณที่เหลือของเกาะที่เป็นป่านั้นตอนที่เราไปออกโฉลดที่ 53 ไร่ของเราทางนายอำเภอก็บอกว่าพื้นที่ข้างหลังเป็นพื้นที่ป่าลาดชันไม่ต้องไปออกเอกสารสิทธิ์ซึ่งทางครอบครัวผมก็เห็นด้วยเพราะเมื่อเป็นพื้นที่ป่าก็อยากที่จะเก็บไว้ในพวกนกเงือกมาอยู่หลายคู่ก็เลยอยากที่จะเก็บไว้"
"กับเรื่องของปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเริ่มต้นจากเมื่อปี 54 มีกลุ่มคนโทรมาหาผมว่าอยากจะขายเอกสารสิทธิ์บนเกาะนี้เป็น สค.1 เป็นเอกสารสิทธิ์ครอบครองอยู่หนึ่งแปลง 7 ไร่ 3 งาน 20 วา เค้าบอกว่าสามารถอันนี้ไปออกเอกสารถือครองได้เลย ซึ่งตอนนั้นผมก็งงเหมือนกันว่าเค้ามีได้อย่างไรในเมื่อเค้าครอบครัวผมเป็นคนถือครองทั้งเกาะแล้วแล้วจะเอาเอกสารสิทธิ์ทำกินมาขายผมได้อย่างไร ยกเว้นในส่วนของป่าก็ไม่มีสิทธิ์ออกได้อยู่แล้ว เมื่อรู้แบบนี้ผมก็เลยได้มีโอกาสไปสอบถามกับไปทางผู้ใหญ่ที่เค้ารู้เรื่องนี้และเป็นคนเอกสารสิทธิ์นี้ก็ได้รับคำตอบว่าเอกสารสิทธิ์นี้อยู่ที่เกาะนาคาใหญ่ไม่ใช่เกาะนาคาน้อยของครอบครัวผม เมื่อรู้ว่าเป็นแบบนี้ผมก็เลยปฏิเสธการซื้อขายไป ซึ่งทางเค้าก็ยังยืนว่าสามารถที่จะทำให้เราได้แม้ว่ามันจะเป็นเอกสารสิทธิ์คนละเกาะก็ตาม แต่ครอบครัวผมก็ไม่เอาเพราะไม่อยากทำชั่วมันผิดกฏหมายและที่สำคัญมันเป็นพื้นที่ป่าก็อยากที่จะรักษามันไว้เหมือนเดิมจากนั้นเรื่องราวก็จบไปไม่มีการซื้อขายอะไรต่อกัน"
ภูริ กล่าวต่อว่า "เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาครอบครัวก็คุยกันว่าบริเวณพื้นที่นี้เราได้ถือครองเอกสารสิทธิ์มานานแล้วก็อยากที่จะจัดการรางวัดใหม่เพื่อที่จะออกเป็นโฉลนที่ดินอย่างถูกต้อง จากนั้นเราก็ได้ขอดำเนินเรื่องเพื่อรางวัดแต่ระหว่างที่กำลังทำการรางวัดพื้นที่นั้นก็มีกลุ่มคนที่เค้าอ้างว่าเค้าถือเอกสารสิทธิ์นี้ ผมก็งงสิว่าจะมีได้ไงเมื่อครอบครัวผมเป็นผู้ครอบครองสิทธิ์นี้เพียงคนเดียวมากว่า 40 ปี แล้วอยู่ดีๆมีคนมาบอกว่าผมมารุกพื้นที่ของเค้าได้อย่างไรแล้วเอาเอกสารมาให้ผมดูว่าเค้าถือสิทธิ์อยู่ 24 ไร่ ออกวันที่ 30 ก.ค.57 หลังจากที่มีคนมาเสนอขายผมประมาณ 2-3 ปีผมก็ตกใจเหมือนกันว่ามาอย่างไร ผมอยู่นี้มา 40 ปีไม่เคยเห็นเจ้าของเลยไม่เคยมาทำสวนทำไร่อะไรทั้งนั้นแต่จู่ๆก็มีมาได้ไง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นหรือความเดือดร้อนที่เกิดถ้ามีเจ้าของเพิ่มบนเกาะนี้ผมยอมรับว่าผมไม่ชอบไม่อยากให้ใครเข้ามารบกวนบนพื้นที่นี้และสิ่งที่กังวลอีกอย่างผมไม่รู้ว่านายทุนใหม่เค้าจะเอาพื้นที่ตรงนี้ไปพัฒนาทำอะไร ซึ่งความตั้งใจของครอบครัวผมต้องการให้พื้นที่ตรงนี้เป็นป่าแป็นที่อยู่อาศัยของนก ผมยืนยันว่าผมไม่เอาเป็นเจ้าของแน่นอนเพราะพื้นที่ที่มีอยู่ก็เพียงพอแล้ว"
"เมื่อรู้ว่ามีปัญหาเรื่องของที่ดินนี้ผมก็เลยรีบไปที่กรมที่ดินเพื่อคัดลอกเอกสารสิทธิ์ผืนนี้แล้วรู้สึกว่าเอกสารสิทธิ์ผืนนี้ไม่โปร่งใสเพราะจากของเดิมที่นำมาเสนอขายแล้วผมรู้ว่าเป็นเอกสารสิทธิ์จากเกาะนาคาใหญ่ แต่ตอนหลังมาออกเป็นนส..3จากเอกสารสิทธิ์ใบเดียวกันแต่ว่ามีการแจ้งหายแล้วมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่ามีการแจ้งหายได้ด้วยหรือ พร้อมกับการเพิ่มจำนวนไร่จาก 7 ไร่เป็น 17 ไร่ และของเดิมที่ติดสวนติดป่าก็ออกมาเป็นติดทะเล แต่สิ่งที่เหมือนกันคือเลขที่และลายเซ็นต์ต่างๆ ซึ่งเท่าที่ดูเอกสารนี้ทั้งผมและเจ้าหน้าที่ดีเอสไอก็ตั้งข้อสงสัยว่าเป็นเอกสารสิทธิ์ของเกาะนาคาใหญ่ แต่เมื่อมาบอกว่าเป็นเกาะนาคาน้อยก็ทำให้เกิดข้อสงสัยเพราะในบริเวณเกาะนาคาน้อยครอบครัวของผมเป็นคนถือกรรมสิทธิ์เพียงครอบครัวเดียว ไม่มีใครมาถือครองดังนั้นเอกสารสิทธิ์ที่ออกมาจะไปติดกับของเจ้าของคนนั้นคนนี้มันเป็นไปไม่ได้ ส่วนเรื่องที่ผมออกมาเรียนร้องตอนนี้ไม่ได้ต้องการอะไรใครจะผิดจะถูกก็ให้ทางเจ้าหน้าที่เป็นคนดำเนินการแล้วกัน แต่สิ่งที่ผมต้องการคืออยากให้ออกมาถอดถอนเอกสารสิทธิ์ที่ทับที่ป่าหลังเกาะของผมเท่านั้น ผมอยากให้กรมที่ดินออกมาถอดถอนให้เร็วที่สุด และตอนนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI)ได้เข้ามาดูแลเรื่องนี้แล้ว ผมคิดว่าคงจะได้รับความเป็นธรรมกับเรื่องนี้เร็วขึ้น ส่วนเรื่องที่ผมออกมาเรียกร้องแบบนนี้มีคนถามเยอะมากว่ากลัวเรื่องของความปลอดภัยมัยก็ยอมรับว่ากลัวเหมือนกัน ความจริงเรื่องนี้ผมทำแบบเงียบมา 6 เดือนแล้ว เมื่อมันไม่ได้ผลผมก็คงจะต้องออกมาเรียกร้องแบบนี้เพื่อให้เป็นตัวอย่างให้กับประชาชนทั่วไปด้วยเมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องต่างๆ"