ทิสโก้ชวนสะสม “หุ้นเยอรมัน – ญี่ปุ่น – จีน” อนาคตแจ่มรับเฟดขึ้นดอกเบี้ย เป็นโอกาสลงทุนปี 2016

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 21, 2015 12:10 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--21 ธ.ค.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป ทิสโก้เล็งไม่พลาด เฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด ส่งหุ้นยุโรปเอเชียเด้งแรง แนะทยอยสะสม "หุ้นเยอรมันญี่ปุ่น – จีน" กลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักที่เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจและใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินต่อเนื่อง ส่งตลาดหุ้นสดใสเหมาะสะสมเข้าพอร์ต เป็นทางเลือกลงทุนปี 2016 นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Head of Marketing and Wealth Advisory, Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) กล่าวว่า จากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC)ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติเป็นเอกฉันท์ในการประชุมในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0.25-0.5% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2006 โดยจากแถลงการณ์การประชุมระบุว่า Fed ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากเชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อจะสามารถกลับเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% ได้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1. การบริโภคและการลงทุนในประเทศที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง 2. ตลาดแรงงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และ 3. ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มผ่อนคลายลง รวมถึง Fed ยังส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Gradual Increase) ขณะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ และจะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไปนั้น ซึ่งภายหลังการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ดังกล่าว ส่งผลให้การตอบรับของตลาดหุ้นยุโรปและเอเชียหลายแห่งปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยหายไป ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในปี 2016 บลจ. ทิสโก้ จึงยังคงมุมมองเดิมต่อการลงทุนในตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักที่เน้นผ่อนคลายด้านนโยบายการเงินในปี 2016 โดยแนะนำทยอยสะสมหุ้นเยอรมัน, หุ้นญี่ปุ่น และ หุ้นจีน "ตลาดหุ้นที่เราแนะนำในปี 2016 ยังคงเป็น ตลาดหุ้นเยอรมัน ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และ ตลาดหุ้นจีนโดยเศรษฐกิจเยอรมันยังคงมีความแข็งแกร่งที่สุดในยุโรปและมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี โดย ECB มีมาตรการทำ QE ต่อเนื่อง และมีปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินยูโร ประกอบกับปัจจุบันหุ้นเยอรมันยังซื้อขายที่ระดับP/E ต่ำที่สุดในยุโรป สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่น เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน และการที่ BoJ อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบผ่านโครงการQQE รวมถึงการอ่อนค่าของเงินเยนยังส่งผลดีต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น ทางด้านตลาดหุ้นจีน เรามองว่าการชะลอลงของเศรษฐกิจจีนในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพียงปัจจัยลบชั่วคราว เชื่อว่าเศรษฐกิจจีนจะดีขึ้นจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเชื่อว่ารัฐบาลจีนจะยังคงเน้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและการคลัง รวมถึงการบังคับใช้มาตรการต่างๆ เพื่อดูแลเสถียรภาพของตลาดหุ้น ซึ่งย่อมส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจีน อีกทั้งปัจจุบันหุ้นจีนยังถูก ซื้อขายที่ P/E เฉลี่ยเพียง 8 เท่า ดังนั้นทั้ง 3 ตลาดจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ" นายสาห์รัช กล่าว โดยนับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน (1 ม.ค. - 17 ธ.ค. 58) ตลาดหุ้นเยอรมัน (DAX) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 9.5%, ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 10.9% และตลาดหุ้นจีน (Hang Seng) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -7.3% ขณะที่ตลาดหุ้นไทย (SET) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -12.5% ทั้งนี้ กองทุนหุ้นเยอรมัน ญี่ปุ่น และจีน ที่ บลจ. ทิสโก้แนะนำในปี 2559 ได้แก่ "กองทุนเปิด ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้" ซึ่งลงทุนในหุ้นเยอรมัน ที่เป็นประเทศที่เศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดในยุโรป, "กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้" ที่ลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น โดยอิงดัชนี Nikkei 225 และ "กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Share อิควิตี้" ที่ลงทุนเฉพาะหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง ซึ่งถือเป็นตลาดที่มี Valuation ที่ถูกมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ทั้งนี้ ผู้สนใจลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน เนื่องจากกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ โดยสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียด หรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ