บทสัมภาษณ์ หม่ำ จ๊กมก (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) ผู้กำกับ “แหยม ยโสธร”

ข่าวทั่วไป Thursday August 25, 2005 13:57 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--25 ส.ค.--สหมงคลฟิล์ม
ด้วยแรงบันดาลใจจากความรักที่มีต่อหนังมาแต่ไหนแต่ไรของ “เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา” ตลกหน้าตายชื่อดังของเมืองไทย จึงเกิดเป็นแรงผลักดันที่จะสร้างผลงานให้แก่วงการภาพยนตร์ ด้วยการแสดงฝีมือการกำกับการแสดงให้ทุกคนได้เห็นกัน จาก “บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม” ผลงานชิ้นแรกที่ดังเป็นพลุแตกกวาดรายได้ถล่มทลาย จนถึงหนังรักโรแมนติก-คอเมดี้เรื่องที่สอง “แหยม ยโสธร” นี่คืออีกคำยืนยันอันแน่วแน่ของผู้กำกับมาดตลกคนนี้ที่เคยเอ่ยไว้ว่า “ไม่ว่าจะทำหนังหรือว่าทำอะไร ตลกคือหัวใจและตัวตนของผมแน่นอน”
ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง พิธีกร ตลก พี่หม่ำรักกับอาชีพไหนเป็นพิเศษ ?
ถ้าพูดถึงบทบาทที่ทำ ๆ อยู่ ก็ถ้าให้ชอบจริง ๆ ผมว่าผมชอบตลกมากกว่าสิ่งอื่นเลย เพราะชีวิตจิตใจนั้นมันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ...โอ้!! พระเจ้าให้ตายสิจ๊อช มันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริง ๆ เพราะไม่ว่าชีวิตผมมันจะทำอะไร มันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของตัวเราแล้วอาชีพตลกเนี่ย ต่อให้จะทำหนังทำอะไรก็แล้วแต่ มันรู้สึกได้กับตัวเราเองว่าน่าจะเป็นเรื่องที่สนุกสนาน ซึ่งมันก็คือเรื่องตลกนั่นเอง
โดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าผมจะทำหนังอะไรสักเรื่อง ผมว่าผมก็คงต้องทำหนังตลกอยู่ดีนั่นแหละ เพราะเรารู้สึกว่าถ้าจะให้ผมมาทำหนังเครียด ๆ ซีเรียสอะไรแบบนั้น ผมคงทำไม่ได้ ต้องเป็นหนังตลกเท่านั้นจะบู๊ รัก สยองขวัญ มันก็ต้องเป็นแบบฉบับของผม ต้องหนังตลกเท่านั้น ชัดเจนเลย จะไม่ทำหนังแบบอื่นเลย
จริงๆ พี่หม่ำก็เล่นหนังเป็นพิธีกรก็รวยอยู่แล้ว ทำไมถึงคิดอยากกำกับหนังอีก ?
มันเป็นความชอบส่วนตัวด้วย ถ้าถามถึงเรื่องของหนัง เรื่องของภาพยนตร์ มันเป็นความชอบอยู่แล้ว ชอบมากๆ ด้วยโดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องหนังเนี่ย ผมดูหนังแทบทุกเรื่องผมชอบทุกแนวแล้วค่อนข้างที่จะพลาดยากกับหนังทุกเรื่อง เพราะผมรู้สึกผูกพันกับมันเหมือนกัน แล้วถ้าดูบางเรื่องนะบางทีก็จะอินกับมันมาก ดูไปร้องไห้ไปเหมือนกัน เอาแน่ไม่ได้นะกับคนอย่างผม ผมก็ร้องไห้เป็นเหมือนกัน แล้วยิ่งถ้าเป็นเรื่องของครอบครัวด้วยแล้วนะ ผมจะร้องไห้น้ำตาไหลเลย เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวผมจะรู้สึกไวมาก
แสดงว่าพี่หม่ำเป็นคนโรแมนติก เอาใจใส่กับเรื่องแบบนี้มาก ?
จะว่าโรแมนติกก็คงใช่... ใช่มีค่อนข้างเยอะด้วย ผมเป็นคนที่มองอะไรด้วยความสดใส ยิ่งเป็นเรื่องของความรักเรื่องของครอบครัวแล้ว มันจะเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับผู้ชายที่ชื่อหม่ำคนนี้เลยนะ
พี่หม่ำมีมุมมองเรื่องความรักเป็นยังไง ?
ความรักเหรอ...มันพิเศษนะ ผมว่าการที่จะได้ใครมารักซักคนนึง เราต้องชัวร์เลยนะ ต้องมั่นใจเลยหละ ต้องดูแลเขาได้ ต้องหมั่นดูแลความรักกัน ฉะนั้นการที่จะบอกรักใครซักคนนึง เราต้องชัวร์ต้องมั่นใจ แล้วค่อยบอกคำว่ารักกับเค้า สำคัญเลยต้องดูแลเค้าได้ด้วย
ยกตัวอย่างความโรแมนติกของพี่ให้ฟังหน่อยได้ไหม ?
ถ้าจะให้พูดยกตัวอย่างกับภรรยาอย่างงี้นะ ถ้าเป็นวันเกิดเค้า วันครบรอบแต่งงาน หรือว่าวันแห่งความรัก จะเป็นวันอะไรก็แล้วแต่ ผมจะเป็นพวกที่ชอบทำอะไรแปลกๆ ผมจะพาเค้าไปนั่งกินข้าวกัน 2 คน นั่งคุยกันเรื่องเก่าๆ ใต้แสงเทียน บางทีมีคนเค้าเดินมาขายกุหลาบ ผมก็ซื้อทั้งกำเลย ซื้ออันเบ่อเร่อเลย วางให้ตรงกลาง ...ปีที่แล้วมั้งซื้อจี้ให้...จี้เพชร ผมก็ไม่บอกเค้า ที่จี้สลักชื่อว่าหม่ำเลยนะ แฟนผมเค้าดีใจน้ำตาไหลเลย แล้วผมก็ใส่ให้เค้า บอกเค้าว่า...นี่...อยู่ในคอแล้วนะไม่ไปไหนแล้วนะคราวนี้ คล้องคอเอาไว้ชื่อคนนี้จะอยู่ในคอเธอตลอดไป (เขิน)
แสดงว่าเป็นคนชอบทำเซอร์ไพรส์ ?
ก็แล้วแต่โอกาส ถ้าโอกาสดี จังหวะดีก็ชอบทำเซอร์ไพส์เหมือนกัน
พี่ค่อนข้างจะชื่นชมคนที่มีรักเดียวเป็นพิเศษหรือป่าว ?
ใช่...ใครที่มีความรัก แล้วรู้สึกว่าตัวเองจริงจังกับความรัก ผมจะชอบคนนั้นมากเลย ยกย่องคนนั้นมากเลย คนที่มีความมุ่งมั่นกับความรัก คนอย่างนี้น่าเชิดชู ไม่ว่าจะเป็นรักเพื่อน รักครอบครัว รักคุณพ่อรักคุณแม่ รักอะไรก็แล้วแต่ ที่เกี่ยวกับความรัก ผมจะยกย่องว่าคน ๆ นี้เป็นคนพิเศษสำหรับผม
ความรักเลยเป็นแรงบันดาลใจให้พี่คิดเรื่องแหยมขึ้นมาหรือเปล่า ?
มันก็มีส่วนนะ สำหรับหนังเรื่องแหยม ยโสธร ถ้าผมคิดอยากจะทำหนังรักซักเรื่องนึง ผมก็คิดว่ามันจะเป็นรักแบบไหนดี ก็เลยมานั่งย้อนนึกถึงตัวเองว่า เออ..มันน่าจะเป็นความรักเมื่อ 40 ปีที่แล้วดีไหม มันน่าจะสดใสกว่า ก็เลยลงตัวที่หนังเรื่องนี้แหละ เรื่องนี้ก็เลยเป็นหนังรักเป็นหนังพีเรียดที่ย้อนยุค อยากให้ได้เห็นความรักที่เป็นแก่นแท้ของคนบ้านนอกว่าเค้ารักกันยังไง แล้วยังมีให้เห็นอีกมุมนึงด้วย เป็นมุมที่ไม่รักกันด้วยนะ คือในเรื่องตัวไอ้แหยมเนี่ย เป็นคนที่ไม่ได้รู้เรื่อง ๆ ความรักเลย แต่อีกคู่นึงคู่พระเอกนางเอกเขาจะหวานแหว๋วกับความรักมาก จะอินเลิฟตลอด จะกินข้าว จะเข้าห้องน้ำ จะทำอะไรก็แล้วแต่ คู่นั้นเค้าจะรักกันมาก ซึ่งสวนทางกับอีกคู่นึง แต่สุดท้ายคู่ของแหยมเขาก็อินเลิฟนะ
ทำไมถึงเลือกยโสธรเป็นที่เกิดเหตุ ?
ที่จริงแล้วถ้าจะไปเล่าความรักที่ภาคใต้มันก็คงไม่ใช่ มันผิดภูมิลำเนาแล้ว มาเล่าที่กรุงเทพฯ มันก็ไม่ใช่ มาเล่าที่เชียงใหม่ มันก็ไม่ถูกต้อง งั้นเอาชัดเจนไปเลยว่าความรักของไอ้แหยมนี่มันน่าจะเล่าที่ยโสธรนะ ให้มันชัดเจนไปเลยว่าความรักของผู้ชาย 2 คนนี้ เกิดขึ้นที่ยโสธร เกิดขึ้นจากคนชื่อแหยมที่เป็นคนก่อความรัก เป็นคนทำให้เกิดความรักทั้งคู่พระเอกนางเอก แล้วก็คู่ของแหยมด้วย
แสดงว่าความรักของคนที่ยโสธรก็ดูยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน ?
ยิ่งใหญ่....ยิ่งใหญ่เลยหล่ะ เพราะคนที่นั่นทำอะไรก็ดูมันเป็นธรรมชาติ เค้าพูดอะไรเค้าก็พูดกันซื่อๆ คนต่างจังหวัดจะพูดซื่อๆ รักก็คือรักเลย รักแล้วไม่ทิ้งด้วย ขออยู่กับเธอตลอดไป จนกว่าดินจะกลบหน้า แต่เดี๋ยวนี้เค้าไม่ใช้ดินกันแล้ว เค้าเอาไฟเผากัน (หัวเราะ)
พี่ได้ศึกษาการทำหนังรักจากเมื่อครั้งอดีตบ้างไหม ?
ถ้าจะให้พูดถึงหนังรักของไทยในอดีตนะ หลายเรื่องเลยแหละที่เรารู้สึกว่ามันเป็นหนังรักที่เราชอบ หนังรักมันจะมีหลายอย่างนะ อย่างของพี่ศุภักษร เค้าก็จะทำหนังรักกุ๊กกิ๊กของเค้า เราดูแล้วรู้สึกสบายใจ กุ๊กกิ๊ก หนังอะไรก็ไม่รู้ที่จารุณีเล่นด้วย แล้วก็มีแม่แต่ล่มใบที่เล่นกับ ทูน หิรัญทรัพย์ พี่เปิ้ล จารุณี เล่น ดูแล้วมันก็กุ๊กกิ๊กมันก็น่ารักไปอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้ามาดูหนังเรื่องที่เนาวรัตน์เล่น เรื่องรักประหาร มันก็ซึ้งๆ ไปอีกแบบนึง แล้วดูเรื่องถ้าเธอยังมีรักหนังของท่านมุ้ย ที่สรพงษ์เล่นเป็นพระเอก กับเนาวรัตน์ก็ยิ่งซึ้งนะ น้ำตาก็จะไหลเหมือนกัน ...อีกเรื่องนึง ก็เรื่องไผ่สีทอง พระเอกคือพี่เอกสรพงษ์ กับ..ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็น สุพรรษา เนื่องภิรมย์นะ เล่นเรื่องนี้แบบน้ำตาแทบจะไหล ตอนนั้นพวกเขาเป็นวัยรุ่นอยู่ รู้สึกอินมากกับหนังรัก ก็เลยรู้สึกว่าถ้าผมจะทำหนังรัก มันน่าจะเป็นหนังรักแบบกุ๊กกิ๊ก แล้วก็น่ารัก ตลก คิดได้ทันทีเลย ถ้าเป็นหนังรักต้องเป็นแนวนี้แน่นอน ชัดเจน
เรื่องราวของแหยมเป็นยังไง ?
เรื่องย่อของแหยม ยโสธร ก็เป็นเรื่องราวของคู่รักของคน 2 คู่ ซึ่งคู่นึงคือคู่ทองกับสร้อย (ชัยพันธ์ นินกง-เยาวลักษณ์ ตุ้มบุญ) เขาจะแฮปปี้ ส่วนอีกคู่หนึ่งก็คือ เจเนท เขียวกับผม (เจ้ย-แหยม) จะเป็นคู่ที่ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าที่ควร จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน เพราะไอ้แหยมไอ้ตัวที่ผมเล่นเนี่ยมันรู้สึกว่ามันหล่อ แล้วไอ้แหยมมันก็คิดว่าเจ้ยเค้าเป็นคนขี้เหร่มาก แหยมจะเป็นน้าของพระเอกคอยแนะนำ คอยเอาใจช่วยชี้แนะว่าควรทำอย่างนี้นะ แต่ตัวเองก็ไม่เคยมีเมียหรือมีแฟนกับเค้ากันหรอก ก็เกือบจะขึ้นคานอยู่เหมือนกันในเรื่องนะ พอดีว่ามีเจอกับอีเจ้ย เพราะเจ้ยเค้าเป็นพี่เลี้ยงนางเอก เค้าก็เจอเราบ่อยเค้าเลยมาหลงรักเราหัวปักหัวปำ เจ้ยเค้าเป็นคนมุ่งมั่นในความรักที่มีให้กับแหยมมากเลยนะ ไม่ว่าแหยมเค้าจะว่ายังไงก็แล้วแต่ แหยมเค้าจะให้ร้ายป้ายสี กระแทกแดกดัน ประชดประชัน เค้าก็รักของเค้ามุ่งมั่นกับความรักของเค้ามาก
แต่ความรักของทั้ง 2 คู่นี้ถูกกีดกันจากป้าของนางเอกชื่อว่าคุณนายดอกท้อ (แวว จ๊กมก) ป้าดอกท้อจะคอยขัดขวางทุกวิถีทางเหมือนหนังไทยทั่วไปสมัยเก่า ป้าดอกท้อเค้าไม่ชอบทองเพราะเค้าอยากให้หลานสาวได้รักกับคนที่มีฐานะใกล้เคียงกัน คือเค้ารวยไงรวยสุดในตำบล ออกเงินกู้อะไรพวกนี้ ป้าดอกท้อก็พยายามจะบอกหลายว่าอย่าไปรักกับมันเลยไอ้ทองน่ะ คนในหมู่บ้านชอบสร้อยก็เยอะแยะทำไมไม่ไปชอบเค้า ก็ประมาณนี้ไปติดตามดูในหนังเรื่องแหยม ยโสธรกันเองดีกว่า สนุก ฮาระเบิดระเบ้อ พรั่งพรู จนอุจจาระแตกปังออกมา (หัวเราะ)
ทำไมถึงตั้งชื่อหนังว่าแหยม ยโสธร ?
ตอนแรกจะใช้ชื่อว่า กู๊ดมอร์นิ่ง ยโสธร แต่ตอนหลังก็มาใช้ ฮัลโล ยโสธร แล้วก็มีชื่อไทยว่า สวัสดี ยโสธร จนสุดท้ายมาจบที่ชื่อแหยม เพราะเสี่ยเค้าชอบชื่อแหยม เพราะเรื่องราวทั้งหมดแหยมเป็นคนดำเนินเรื่อง เป็ฯเหมือนตัวชงให้ไอ้คู่พระนางเค้าได้รักกัน
พี่หม่ำเขียนบทเองเลยหรือเปล่า ?
ใช่ เรื่องนี้ผมคิดเอง ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นคนเขียนหนังสือเอง แต่ผมก็บอกเล่าไล่เป็นซีน ๆ ได้ เล่าให้คนอื่นฟังเขาก็มานั่งพิมพ์นั่งเขียนแทนผม เรียบเรียงให้ผม
มองพี่เขียวไว้แต่แรกเลยหรือเปล่าว่าบทนี้ต้องเป็นพี่เขียวคนเดียว ?
ใช่ ๆ รู้เลย สำหรับเรื่องนี้ผมคิดได้ทันทีเลยว่า ต้องเป็นเขียว ต้องเป็นเจเน็ท เขียว คนอื่นเป็นไม่ได้ แล้วบอกได้ทันทีเลยว่าหนังเรื่องนี้นะ ลุคของเขียวเค้าเปลี่ยนไปเลย เค้าจะเป็นนางเอกเต็มตัวมาก เพราะว่าเค้าจะสวยมาก ๆ จะเป็นนางเอกแบบนางงาม ซึ่งมันจะขัดกับตัวเจเน็ท เขียว เพราะปรกติเค้าจะกระโดกกระเดกอยู่แล้ว ส่วนพระเอกนางเอกอีกคู่นึงเค้าก็จะโอเคอยู่แล้ว เค้าก็สวยเค้าก็หล่ออยู่แล้ว
อีกอย่างที่เลือกเขียว เพราะเขียวเค้าเป็นคนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมคิดว่าเค้าทำได้ ต้องเป็นเขียวคนเดียวเท่านั้น เหมือนบอดี้การ์ด ฯ แม่นางเอกยังไงก็ต้องเป็นอาภาภรณ์ มันตรงกับบุคลิกของบทภาพยนตร์ เป็นคนอื่นไม่ได้เลย ถ้าจะให้คนอื่นเล่นก็ต้องพับเรื่องไปเลย แล้วเขียวเค้าก็ทำได้ดีด้วยในหนังเรื่องแหยม เค้าทำได้ดีและน่ารักกว่าที่คิดเยอะ เค้าเล่นแล้วเค้าสามารถจะถ่ายทอดให้เรารู้สึกว่าเค้ารักไอ้แหยมจริง ๆ ได้ สังเกตได้จากภาพหลุดทั้งหลายแหล่ในหนังเรื่องนี้ มันเหมือนรักกันจริง ๆ เลยนะเจ้ยกับแหยมเนี่ย ซึ่งภาพหลุดจะมีให้เห็นกันในช่วงท้ายของเรื่อง มีหลายอัน สนุก ต้องดูจนจบ
พอได้คุยกับพี่เขียวว่าต้องมาเล่นเป็นตัวเอกนะเรื่องแหยม พี่เขียวเค้าว่าไงบ้าง ?
เค้าก็นึกว่าพูดเล่น เค้าก็มาถามว่าจริงรึเปล่าพี่ ก็บอกไปว่าจริง แล้วก็นานมากไม่ได้พูดกันต่อจนบทเสร็จนั้นแหละถึงให้พี่ปรัชญากับพี่ไก่โทรไปเคลียร์ ทำไมไม่ไปเคลียร์เองรู้ไหม เพราะกลัวว่าเขาไม่เชื่อ หน้าตาก็ไม่น่าเชื่อถือตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เมื่อตอนเรื่องแรกก็ทีนึงแล้วคือมันเหมือนกับว่าเราพูดเล่น แต่พูดจริงนะ บุคลิกเรามันเป็นอย่างนั้นเอง มันเหมือนกับว่าพี่พูดจริงรึเปล่า จริงเหรอพี่อะไรอย่างนี้ เอางี้ถ้าเป็นเรื่องเป็นราวก็ให้ทางบาแรมยูคุยเลยดีกว่า ทั้งที่หน้าตาเราก็ดูจริงจังนะ (ทำหน้าจริงจังขึ้นมาทันที)
แล้วพี่แวว จ๊กมกก็กรณีเดียวกันหรือเปล่า
เหมือนกัน ก็ต้องเป็นไอ้แววนี่แหละ ต้องเป็นไอ้แววเลย ถ้าไม่ใช่ไอ้แววก็คือไม่ใช่แล้ว คาแรกเตอร์ของคุณนายดอกท้อต้องเป็นไอ้แวว ตอนแรกนึกไม่ออกนะ นึกน้องตัวเองไม่ออก ก็นั่งคิดนอนคิดอยู่ว่าจะไปหาใครมาเล่นดีวะ พอดีเลยวันนั้นมันดันมาเที่ยวบ้าน โอ๊ย!! พอเห็นหน้าแค่นั้นแหละต้องไอ้แววเลย คนอื่นไม่ได้เลย ชัดเจน คาแรกเตอร์ของไอ้แววในเรื่องนี้จะเป็นคุณนายมาก เห็นแก่ตัวสุด ๆ เลยโดยเฉพาะกับเรื่องความรัก เพราะตัวเค้าเองก็จะขึ้นคานอยู่แล้วด้วยในเรื่องนะ เค้าไม่มีผัว เค้าไม่เข้าใจ ...ไม่เข้าใจคำว่าคนรักกันมันเป็นยังไง แล้วเค้าก็จะกีดกันให้ถึงที่สุด
กำกับพระเอกนางเอกใหม่เป็นยังไงบ้าง
คือตอนแรก เค้าออกจะกระด้างกระเดื่องไปซักหน่อยนึง แต่จริง ๆ แล้วพอ cast อะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอได้ดูตอนถ่ายทำกันจริง ๆ ก็รู้สึกว่าเออ...ก็ดีนะ เค้า 2 คนเริ่มคุ้นกันแล้ว เค้าก็เริ่มกอดเริ่มนั่นกัน เค้าก็คุยกันเหมือนเป็นเพื่อน มันก็ทำงานง่ายขึ้น ถ้าถามว่าช่วงแรกๆ เป็นไง มันก็ยังไม่ค่อยดี แต่พอเขาเริ่มได้ไปเรียน acting เขาก็พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เก่งขึ้นทั้งคู่
ได้ยินว่าส่งคนไป casting ที่แถบอีสานกันเลยกว่าจะได้พระนางคู่นี้มา
ใช่ครับ ผมได้พระเอกคนนี้มาจากจังหวัดอุบล ตอนนั้นส่งคนไป casting กันที่อุบลเลย เพราะอยากได้คนที่พูดภาษาอีสานได้จริง แล้วก็อยากได้คนหน้าใหม่ ๆ บ้าง พระเอกคนนี้หน้าเค้าออกลูกทุ่ง ๆ ดี ที่จริงมีหล่ออีกหลายคนนะ สูง แมนมากก็หลายคน 4-5 คนมั้ง แต่มาถูกใจหน้าอุ้ม
( ชัยพันธ์ นินกง พระเอกใหม่) เนี่ยแหละ ผมรู้สึกว่าหน้าเค้าบ้านนอกแบบลูกทุ่งดี
ส่วนของนางเอกก็เหมือนกันก็ส่งคนไป casting (“ออแกน” เยาวลักษณ์ ตุ้มบุญ) คือใช่เลยว่าต้องเป็นคนหน้าแบบนี้ ไม่เอาสวยมาก เอาพอดี ๆ หน้าออกแหลม ๆ หน่อย เสียงแบบเหมือนคนบ้านนอก แล้วเค้าก็พูดเหมือนคนบ้านนอกได้จริง ๆ ผมดูจากกิริยาเค้า ดูจากที่ cast แล้วก็หน้าตาเค้าหลังจากที่เค้าถ่ายรูป ถ่ายอะไรไว้ ดูไปดูมาเออนางเอกคนนี้แหละใช่แล้ว เอาคนนี้ เคาะเลย เค้าเป็นคนน่ารักนะ เป็นคนกล้าแสดงออก เป็นคนที่จะให้ทำอะไรเค้าก็ทำให้ได้หมด
คาแรกเตอร์คู่พระนางนี้เขาจะรักกันมาก จู๋จี๋กันได้ทุกที่เป็นอะไรที่น้ำเน่ามากเลยนะ แต่คู่นี้ไม่จืดชืดไม่มีรสชาตินะ มาอยู่ในหนังผมคงจะปล่อยให้ธรรมดาไม่ได้ 2 คนนี้ต้องมีอะไรพิเศษ ต้องกล้า แล้วในหนังก็จะได้เห็นกันว่าเป็นยังไง ไม่อยากบอกไปดูในหนังดีกว่า
มีคาแรกเตอร์ไหนที่น่าสนใจอีกบ้างไหม ?
ตัวยอดชายไง ( “แจ้ง” อนุวัฒน์ ทาระพันธ์) ยอดชายเป็นลูกชายกำนัน เขามาจีบสร้อยผมมองแล้วว่าต้องเป็นคนนี้เลยนะ เวลาผมมองอะไรมันใช่เลยล่ะ คือ...ต้องเป็นไอ้ตัวนี้เลย ใช่เลย...ต้องหล่อ จะทำอะไรต้องมีคำต้องมีท่าทาง เอ้ยยยย...(พี่หม่ำทำท่าทางเลียนแบบยอดชาย ซึ่งเป็นตัวโกงที่มีคาแรคเตอร์เน้นเสียงหล่อ ๆ แบบนึกว่าตัวเองเป็นพระเอก) เวลาจะเดินไปไหนมาไหนเค้าต้องวางมาดเพราะเค้าคือลูกชายกำนัน เค้าก็ต้องทำท่าแบบนั้น แต่ตัวนี้ cast ไม่ยาก เพราะเป็นเด็กในหม่ำโมเดลลิ่งอยู่แล้ว (ทำหน้าภูมิใจ) ผมบอกได้เลยว่าต้องคนนี้เลย ผมรู้ว่าเค้าต้องทำได้ ผมบอกเค้าว่าเอ้า..มึงเดินให้กูดูหน่อยสิ มันก็เดินให้ดู ลองพูดหน่อยสิ มันก็พูดให้ดู ไม่ต้อง cast เยอะเลย คือ 3 วินาทีรู้เลย ไอ้ตัวนี้ไม่ต้องไปหาไกลเลย มันใช่เลยลงตัว เป็นเด็กในสังกัดหม่ำโมเดลลิ่งอีกคนนึง (หัวเราะ) ตัวอื่น ๆ ก็มีนะอย่างรัก-ยม เป็นคู่หูกันเป็นสมุนของยอดชาย 2 คนนี้มันจะพูดคนละคำ คือประโยคนึงมันจะพูดคนละคำ ต้องเข้าขากันได้
คาแรกเตอร์ของแหยมเป็นยังไง ?
ตัวแหยมจะเป็นคนซื่อ ตัวเค้าจะมีความมุ่งมั่นมีความจริงใจ กับทุก ๆ คน แล้วก็เป็นคนที่โอบอ้อมอารี สิ่งเดียวที่ไม่ถูกหูถูกตาคือเจ้ยคนเดียวเลย ในเรื่องนี้คือไม่เข้าหู ไม่เข้าตาอะไรเค้าซักอย่างเลย แต่ที่ต้องมาด้วยเวลาที่ทองกับสร้อยมันจีบกันก็เพราะอยากให้หลานซึ่งเป็นพระเอกกับสร้อยได้เจอกัน ประจวบเหมาะกับไอ้เจ้ยมันเพราะเจ้ยเป็นพี่เลี้ยงสร้อย มันดันแอบชอบเรา จีบเราอยู่นั่นแหละ ไอ้เราก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้ามัน ทำยังไงก็ชอบมันไม่ลง ก็ต้องคอยหนีมันมีท่าทีต่อต้านมันในแบบของแหยมมันเอง แหยมเค้าเป็นคนโอบอ้อมอารี รักสัตว์ เป็นคนที่มีความจริงใจกับทุกคน เค้าเป็นคนที่อะไรก็ได้ง่าย ๆ เค้าไม่ได้เป็นคนเรื่องมากหรอก แต่เค้าจะเรื่องมากกับอีเจ้ย เพราะจู้จี้กับเค้า เค้าไม่ชอบ ถามว่าเจ้ยเป็นคนดีมั้ยในหนัง เค้าก็เป็นคนดี แต่แหยมไม่ชอบเค้าเท่านั้นเอง เราไม่รักเค้า ไม่อยากให้เค้ามายุ่งด้วยเท่านั้นเอง
คาแรกเตอร์ของแหยมมีต้นแบบจากอะไรหรือเปล่า ?
ที่จริงตัวไอ้แหยมมีตัวตนนะ ชื่อแหยมจริง ๆ มันเล่นตลกคณะไอ้หยอง ตามันเหล่ ๆ ตอนแรกที่ casting ผมก็ cast ตัวเองด้วย มานั่งทำตาแบบนี้นะ (ทำตาเหร่) มันต้องฮา ตอนแรกก็คิดไว้ว่ามันน่าจะเป็นแบบนี้นะ แต่มานั่งคิดไปคิดมา จะมาทำตาเหล่กันทั้งเรื่อง ตาเรามันต้องเหล่จริงแน่ ๆ เลย ไม่เอาดีกว่า เอาธรรมดาดีกว่า สุดท้ายก็ได้เป็นแหยมธรรมดา แต่ว่าขอใส่วิกทรงผมแบบเก่า ให้มันดูเป็นคนทึ่ม ๆ ทึบ ๆ หน่อยก็ดีนะ
แล้วทำไมพี่ถึงเลือกตัวเองเป็นแหยม ?
ถ้าไม่เล่นเองมันก็อาจจะไม่สนุก มันเหมือนกับว่าตัวผมจะเป็นตัวปูให้เจเนท เขียว แล้วตัวพระเอกของเรื่อง มันเหมือนเป็นจุดขาย แล้วอีกอย่างความรู้สึกของเราเนี่ย ถ้าอยากจะทำหนังเองแล้วก็อยากจะเล่นเองมากกว่า สะใจด้วย แล้วเราก็จะรู้จักตัวละครรู้จักเนื้อเรื่องดี เพราะมันเป็นหนังของเรา เราสามารถจะรู้ได้ทันทีว่าเราจะเอาอะไรใส่ลงไปในเรื่องบ้าง เราจะตลกช่วงไหน
งานพี่ก็จะหนักกว่าคนอื่น 2 เท่า ?
ไม่นะ ผมว่าสนุกกว่าเดิมด้วย แล้วอีกอย่างหนึ่งคนที่มาช่วยผม ผู้ช่วยผมค่อนข้างจะมีฝีมือ ทุกอย่างมันโอเคเลยหล่ะ
ทำไมเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปสมัยอดีต (ย้อนยุค) มันมีเสน่ห์ยังไง ?
จริง ๆ แล้วถ้าเป็นปัจจุบันมันไม่มีอะไรน่าสนใจ มันเห็นปัจจุบันกันอยู่แล้ว ก็เลยอยากทำอะไรแปลกๆ ไม่ให้มันเข้ากับตัวหน่อย เหมือนผมจะทำหนังเรื่องแรกของผมเหมือนกัน ถ้าทำหนังธรรมดามันก็ธรรมดา ถ้าทำหนังผีมันก็ยังไง ๆ อยู่ใช่ไหม เอาวะแอ็คชั่นนี่แหละ เราก็ต้องทำออกมาเป็นแบบแอ็คชั่นเลยทีนี้ แต่พอมาทำอีกเรื่องนึงทีนี้คนละเรื่องเลย ไม่มีปืน ไม่มีชกต่อย ไม่มีซักแอะเลย เรื่องแหยม ยโสธร ไม่มีปีน ไม่มีการเตะ ไม่มีอะไรทั้งนั้น เป็นเรื่องราวของไอ้แหยมกับคน 2 คู่นี้โดยตรงเลย แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงย้อนไปถึง 30-40 ปี เสน่ห์ของมันอยู่ที่ความซื่อของคนยุคนั้นยุค 70 ได้มั้ง น่าจะอยู่ในยุคนั้นเพราะยุคนั้นเป็นยุคที่มีแต่ความจริงใจ โดยเฉพาะกับคนยโสธร คนทุกจังหวัดจริงใจเหมือนกัน แต่บ้านผมจะจริงใจเยอะกว่า ยอบ้านตัวเอง...เอาเข้าไป (หัวเราะ)
ลำบากมั้ยกับการย้อนไปถึงขนาดนั้น ?
ก็มีเหมือนกัน การบ้านเยอะเหมือนกันนะ เพราะต้องไปนั่งไล่ดูหนังมิตรชัย บัญชาอยู่หลายเรื่องเหมือนกัน ของสมบัติเล่นก็หลายเรื่องตั้งแต่สมัยนู้น เพราะอยากให้เห็นภาพชัดขึ้นมา เอาหนังฝรั่งมาดูหลายเรื่องเหมืนกัน แต่มันคนละอย่างกันกับเรา รู้สึกว่าของฝรั่งเขาจะเจริญกว่าของเราเยอะเลย อุปกรณ์สมัยนั้นก็หายาก แต่พวกเงินสมัยนั้นยังพอหาได้บ้างไปหาซื้อที่ไหนก็มีทุกที่ พวกนี้เขาจะเก็บสะสมกันเอาไว้ เราก็ไปเช่าเขามาแล้วก็เอาไปคืน แต่เราไม่รู้ว่าทีมงานไปเอามาจากไหน เพราะมันไม่ใช่หน้าที่เรา
เรื่องนี้พี่หม่ำดูแลเองทั้งหมดเลยหรือเปล่า ?
ใช่ ทั้งแสง ทั้งสี ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า ผมเผ้า บางทีเราก็ดูไม่ค่อยเป็นหรอกว่าอันไหนเป็นยังไง เราต้องไปเปิดหนังสือดูเอาว่าในยุคนั้นเค้าแต่งตัวกันยังไง บ้านช่องของใช้เขาใช้อะไรกัน รองเท้าเขาใส่กันแบบไหน ทรงผมล่ะเป็นไงก็ไปไล่ทรงลำดับผมดู อ๋อ...ยุคนี้มันหวีเป๋นะ มันมีขาม้านี่ ขาบาน เอาชอบเอายุคนี้แบบนี้แหละ
แล้วเรื่องการใช้ภาษาละ เห็นว่าพูดอีสานกันทั้งเรื่องเลย ?
ใช้ภาษาอีสานกันทั้งเรื่องเลย มันจำเป็นนะสำหรับหนังเรื่องนี้ ทีแรกผมจะใช้ซาวด์เป็นภาษาอังกฤษ แต่ผมพูดได้อยู่คนเดียว (หัวเราะ) มันลำบากก็เลยต้องกลายมาเป็นภาษาอีสาน ผมเห็นใจนักแสดงคนอื่นเขา ในเรื่องนี้จะไม่มีนักแสดงที่เป็นคนภาคกลางพูดอีสานมาแสดงเลย หนังเรื่องนี้เลยจำเป็นจะต้องมี sub — title
ใช้เวลาในการถ่ายทำไปนานแค่ไหนสำหรับเรื่องนี้ ?
เฉพาะถ่ายทำก็ประมาณ 3 เดือนกว่าเกือบ 4 เดือน เรื่องนี้ถ่ายได้เร็วเพราะว่าเขียวเขาเทคิวให้ ผมกับเขียวสองคนก็เทคิวให้เต็มที่ ส่วนที่เหลือก็นักแสดงหน้าใหม่ทั้งนั้นก็เลยไม่มีปัญญา
เจอกับปัญหาหนักบ้างมั้ย ?
ไม่ค่อยเจอเลยนะ หรือเป็นเพราะว่ากองผมไม่ค่อยเครียดกัน สนุกสนานกันอย่างเดียวเลย ถ่ายผิดก็เอาให้ได้ละกันเดี๋ยวกูนอนรอ ซ้อมกันก่อนมั้ย เดี๋ยวไปนอนรอก่อนนะ อยู่ในกองจะพูดจากันแบบสนุกสนาน ไม่มีอะไรรุนแรงเพราะถ้ารุนแรงมันรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเราเลย
ในเรื่องนี้มีแก้ผ้าเหมือนกับบอดี้การ์ดมั้ย ?
ไม่มี คงจะมีก็แต่บอดี้การ์ดภาคหนึ่ง แต่ภาคสองอาจจะแก้ด้านหน้าปิดด้านหลัง (หัวเราะ)
เห็นว่าเรื่องนี้มีการใช้เทคนิคในเรื่องของการทำสีภาพด้วย?
ผมเองไม่ได้เรียนภาพยนตร์มาโดยตรง ก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเรียกว่าอะไร แต่ไอ้ความที่เรารักเราชื่นชอบในการชมภาพยนตร์ ดูมาตั้งแต่เด็กก็จะจำได้ว่าเออภาพแบบนี้นะ สมัยก่อนมันจะมีหนังที่เป็นสีแบบนี้ แล้วผมชอบมันเป็นความทรงจำ ความประทับใจของเรา ไอ้เสน่ห์แบบบ้านนา ชาวบ้านในหนังสมัยก่อน สีแจ๊ด ๆ ตัวละครแต่งตัวสีสันแบบไหน ฉาก กล้องที่ถ่ายการตั้งกล้องนิ่ง ๆ ถ่ายเน้นสีหน้านักแสดงเวลาทุกข์ สุข เศร้า เหงารัก เห็นการแสดงที่ทำให้คนดูรู้สึกไปกับตัวละคร ไปกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า จนกระทั่งวันหนึ่งคุณเกี๊ยม(บุญชัย อภินทนาพงศ์ ตำแหน่งโปรดักชั่นดีไซด์) มาอธิบายให้ผมฟัง เอารายละเอียดมาให้ดู แล้วก็มาลองทำสีให้ดู เราก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเทคนิคอะไรแบบนี้นักหรอก เราก็คอยบอกเขาว่าเอาสีนี้แบบนี้นะ เสื้อผ้าแต่ละคาแรกเตอร์ต้องเป็นแบบนี้ เขาก็ทำมาให้เราดู แต่เราไม่รู้หรอกว่าเขาจะเอาไปทำยังไงให้มันออกมาเป็นสีอย่างที่เราอยากได้ เราก็บอกเขาว่า เออ...สีนี้แหละใช่ ให้มันแจ๊ด ๆ เก่า ๆ เป็นเส้น ๆ แบบนี้แหละ บางสิ่งบางอย่างเราไม่ค่อยรู้ไง เพราะเราไม่ได้เรียนภาพยนตร์มาโดยตรง เราไม่ค่อยเข้าใจ แต่ทั้งหมดที่ทำไปเพราะว่าชอบ
ส่วนเรื่องการกำกับพี่หม่ำดูแลเอง สร้างคาแรกเตอร์ขึ้นมาเองเลยหรือเปล่า ?
ใช่ อย่างคุณนายดอกท้อ มันก็ต้องรวยต้องหยิ่ง ๆ บุคคลิกเค้าต้องชัดเจน ผมก็บอกว่าต้องเป็นอย่างงี้นะ (ทำท่าทาง) กูบอกมึงหลายเทือกแล้วก็บ่เคยจำ ....GO NOW NOW มันก็ต้องให้ชัดเจน เค้าจะต้องเป็นคุณนายดอกท้อได้ (ทำหน้าตาเหมือนพี่แววมาก) ต้องให้ชัดเจนว่าเค้าคือดอกท้อ แต่ถ้าเค้าลืมคำนี้ ลืมว่าเค้าคือดอกท้อปั๊บหลุดเลย มันจะหลุดคาแรกเตอร์ ยอดชายก็เหมือนกันทั้งท่วงท่า คำพูด การยืน (เลียนแบบยอดชาย) เออ..ไปใสมาครับ เอ่อ.. ตอนนี้มัน เอ่อ..เอ้ย..สบายเอ้ยผม..อยู่แล้ว มันต้องอย่างนี้นะ ผมก็บอกไว้ว่าอย่าให้หลุด หลุดปั๊ปโทนเรื่องแก่นของภาพยนตร์แก่นของคาแรกเตอร์มันจะหลุดออกไปเลย อย่างเขียวก็ต้องชัดเจนว่าเค้ามุ่งมั่นกับความรัก เค้าจะต้องมุ่งมั่นกับความรักของไอ้แหยม แต่ละคนแต่ละตัวผมดูแลหมด ถ้ามันไม่ใช่ก็ต้องเอาใหม่ ต้องปรับให้ได้ตามที่เรื่องต้องการ
เรื่องนี้จะมีแขกรับเชิญมาแจมในหนังด้วยมั้ย เหมือนอย่างที่พี่ไปโผล่อยู่หน่อยนึงในหลวงพี่เท่ง ?
ผมเป็นคนแปลกอยู่อย่างนึง ถ้าไม่เหมาะนะได้โปรดเลย อย่าเลย เพื่อนกันแม้แต่พ่อผมถ้าไม่เหมาะก็ไม่ให้เข้า ต้องเหมาะมันต้องเหมาะถึงจะเข้ากับหนัง ก็เหมือนไปช่วยหนังของเพื่อน ทางพี่เปี๊ยก เขาขอให้ไปช่วยก็ไป ขอเบียร์มา 60 ลังเป็นค่าตัวแล้วจะไปเล่นให้ พอไปเล่นสายล่อฟ้าก็ให้เอาเหล้ามาแลก 2 ลัง
มุขที่ใช้ในเรื่องกับบทเปลี่ยนไปบ้างไหม ?
มาก..(ลากเสียง) มากมายก่ายกองเลย ลืมเรื่องบทไปเลยแต่ว่าธีมของเรื่องยังอยู่หมด ทุกอย่างอยู่หมด เส้นภาพยนตร์อยู่หมดไม่ได้ได้แตกออกไปไหน แตกเฉพาะคำพูด แต่เนื้อหาอยู่เหมือนเดิมนี่คือวิธีของผม เรียกว่าสั่งคัตเมื่อไหร่ก็เตรียมตัวกันไว้ได้เลยว่าไม่มีทางเหมือนเดิมได้แน่นอน ผมจะเพิ่มจะเติมมันอยู่ตลอดเวลา ทุกคนจะเอาแล้วไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ผมคิดอยู่ตลอดเวลา บางทีพวกนักแสดงมันก็กลัวเหมือนกันนะ อันเก่ายังพูดไม่เข้าปาก อันใหม่มันมาอีกแล้ว (หัวเราะชอบใจ) คือว่าถ้าถ่ายต้องให้ได้ภายในเทคเดียวเลยนะ ถ้าไม่ได้ปั๊ปคำพูด ไม่เหมือนเดิมแล้วนะ มาบอกอีกทีเป็นอีกอันแล้ว ต้องให้ได้ต้องให้เป๊ะเลย ถ้าพูดคำนี้ต้องคำนี้เลย ถ้าไม่ได้แล้วมันจะเปลี่ยนคำไปเรื่อย ๆ แต่ความหมายเดิม
แล้วเค้าไม่งงกันเหรอ ?
เค้าก็งงกัน แต่มันก็ต้องเล่น เพราะมีแต่เด็กในสังกัดทั้งนั้น หม่ำโมเดลลิ่งจัดมาเอง มันก็เลย...ไม่กล้าอยู่ในกองถ่ายมีประทับเรื่องไหนเป็นพิเศษบ้างไหม ?
ส่วนมากก็ประทับใจทุกเรื่องนั่นแหละ ตั้งแต่ทีมงาน ผู้ช่วย แล้วก็นักแสดงมันเหมือนพี่เหมือนน้อง ทำงานด้วยแล้วมันสบายใจ มันไม่ต้องสั่งอะไรกันมาก อยู่ในกองถ่ายก็พูดลาวกันทั้งกองเลย กินข้าวก็กินด้วยกัน กินส้มตำข้าวเหนียวจกปลาร้าแดกกัน เพราะมีแต่คนอีสานทั้งนั้น สนุกดีทำเรื่องนี้ แล้วก็มันสะดวกปาก เกือบห้าหกเดือนนะทำเรื่องนี้ สะดวกปากมากเลย เพราะว่าไม่ได้พูดภาษาไทยเลย เว่าอีสานกันลูกเดียวเลย
มีหลุดหันไปพูดอีสานกับทีมงานบ้างมั้ย ?
มีบางทีก็หลุดเหมือนกัน กำลังคุยต่อไดอะล็อกกับพวกนักแสดงกันอยู่ หันมาเจอทีมงานที่เป็นผู้ช่วยดันหันมาพูดภาษาอีสานด้วย มันก็งงเหมือนกันนะ บางทีหันไปพูดภาษาไทยอยู่ หันมาพูดเป็นภาษาอีสานอย่างเงี้ย กลับไปกลับมา สมองมันแยกเป็นสองทาง นักแสดงมันฟังกันรู้เรื่องอยู่แล้ว แต่ทีมงานบางคนมันไม่รู้เรื่องนะ หันมาเจอพูดอีสานใส่ ก็มีเอ๋อมีงงกันไปบ้างเหมือนกัน แต่สักพักก็กลืนกันหมดแล้ว เริ่มเป็นคนอีสานกันทั้งหมดแล้ว ทีมงาน สนุกดี
มีฉากไหนบ้างไหมที่รู้สึกว่ามันยากสำหรับพี่ ?
มีอยู่ฉากนึงที่ผมจะต้องไปตีหัวพระเอกในน้ำ ผมกลัวปลิงมาก ที่จริงฉากนี้ผมจะต้องโผล่ขึ้นมาจากน้ำแล้วก็ไปตีหัวพระเอก ปึ้ง กลับบ้านได้แล้ว มาคิดดูแล้วน้ำมันไม่น่าไว้ใจ ก็เลยเลี่ยงไม่ลงน้ำดีกว่า ผมกลัวไม่เอาดีกว่า ไม่ลงดีกว่า เรารู้สึก อึ้ย..ขยะแขยง ก็เลยขึ้นไปอยู่บนขอนไม้เหนือหัวแล้วก็ตีหัวไอ้ทอง ไอ้เราก็ไม่กล้าบอกใคร หัวเราะอยู่คนเดียวกลัวว่าพวกทีมงานมันรู้แล้วมันจะแกล้งเรา เดี๋ยวซวย ไม่เอาหรอกผมกลัวปลิง ฉากนี้ก็เลยไม่ได้เป็นไปตามที่บทมันจะต้องเป็น แต่ก็ไม่เป็นไรมันก็ดีไปอีกแบบ ผมงี้หัวเราะร่วนเลยสติแตก กลัวปลิง ไม่มีใครรู้หรอกว่าผมหัวเราะอะไร(หัวเราะ)
เห็นพี่เขียวว่าฉากที่ต้องลงไปในน้ำจับปลาดุกกัน พี่เขียวเขินมากเกิดอะไรขึ้น ?
(ยังมีต่อ)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ